แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ นิยาย แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ นิยาย แสดงบทความทั้งหมด

04 กันยายน 2555

หุ่นกระบอกบิน ตุ๊กตาหิน


ธีระวัฒน์ อนันตวรสกุล

     เด่นนั่งอยู่ที่ม้าหินริมสระน้ำในวัดแห่งหนึ่ง มองตุ๊กตาจีนทำจากหินสีเขียวตัวหนึ่ง เหมือนกำลังระลึกถึงใครสักคน ที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตเขา เขาเป็นเจ้าของกิจการธุรกิจติดตั้งระบบสูบน้ำเพื่อบำบัดน้ำเสีย งานล่าสุดของเขาคือ ปรับปรุงสระน้ำในวัดนี้ จากสระเก่าสกปรกให้เป็นสระที่มีระบบกรองน้ำด้วยถังทราย ถ่านแกลบ ให้สามารถนำน้ำมาใช้ได้ในบางกิจกรรมที่ไม่ต้องการน้ำสะอาดอย่างน้ำประปา เช่นรดน้ำต้นไม้ ล้างพื้น หรือนำน้ำที่กรองแล้วบางส่วนไปฆ่าเชื้อต่อด้วยหลอดรังสียูวีก่อนนำไปราดห้องน้ำ งานของเขาเสร็จแล้ว แต่เขากำลังนึกถึงป้าของเขาซึ่งเป็นเจ้าของร้านเจ้าของขายของชำ

...................................................

     ร้านขายของชำของป้าที่ต่างจังหวัด เป็นร้านขายของชำที่ดีที่สุดเท่าที่เด่นเคยรู้จัก แตกต่างกับร้านขายของชำแถวบ้านเด่นอย่างสิ้นเชิง ร้านแถวบ้านมักจะอมของแถมเป็นประจำ เช่นไม่แจกจานตามเงื่อนไขทั้งที่ซื้อนมข้นหวานสิบกระป๋อง ของก็เก่าเลือกก็ไม่ได้ เช่นยาสีฟันที่ใส่ตู้ตากแดดจนกล่องมีสีซีดจาง อาหารกระป๋องที่บุบ เทปกาวที่เหลืองจนใช้ไม่ได้ในห่อ หลอดไฟที่ขาด ซึ่งพอแกะแล้วก็ไม่ให้เปลี่ยน และที่ฝังใจมากที่สุด คือโกงเกมส์จับฉลากเบอร์ละบาท ในสมัยนั้นปืนฉีดน้ำราคายี่สิบบาท มีฉลากเหลืออยู่สิบใบ จับจนหมดสิบเบอร์ยังไม่เจอเบอร์ที่ตรงกับปืนฉีดน้ำ ทราบจากเด็กที่โตกว่าภายหลังว่า ทางร้านแอบฉีกหนึ่งเบอร์ เอาเบอร์ที่ฉีกออกนั้นเขียนเป็นรางวัลปืนฉีดน้ำให้ลูกเขาเล่นเอง เมื่อมีร้านสะดวกซื้อและห้างค้าปลีกมาเป็นแหล่งซื้อของทางเลือกใหม่ เด่นก็รู้สึกสะใจที่ร้านนั้นเจ๊งไป หนึ่งในเหตุการณ์ประทับใจของเด่นเกี่ยวกับร้านขายของชำของป้า เกิดขึ้นในวัยเด็ก ขณะที่แม่ของเด่นพาเด่นไปเยี่ยมป้าที่ร้านขายของชำของป้าในต่างจังหวัด   ใ
นวันนั้นมีคนดูยากไร้มาเดินมองๆ ข้าวสารที่ร้านขายของชำแห่งนั้น ในขณะที่เจ้าของร้านนั่งอยู่ หากเป็นร้านอื่นบางร้าน คนยากไร้คนนั้นคงโดนไล่ว่า อย่ามายืนขวางหน้าร้าน แต่ภาพที่เด่นเห็นคือ ป้าไปหยิบถุงพลาสติกไปชั่งข้าวให้คนยากไร้คนนั้นหนึ่งกิโลกรัม พร้อมให้หัวไช้โป๊วแห้งไปอีก ปากก็บอกว่า ไม่มีเงินก็เอาไปกินเถิด ชั้นให้” 
     เมื่อคนยากไร้ได้ข้าวก็ดีใจ ยกมือไหว้ อวยพรเสียยกใหญ่ ก่อนจากไป เด่นจึงถามป้าว่า ให้ไปเปล่าๆ เลยเหรอครับป้า ผมว่าให้เปล่าๆ อย่างนี้ขาดทุนแย่” ป้ากลับตอบมาว่า เค้าอดจริงๆ ให้เค้าไปเถอะ ถ้าเค้าไม่มีกิน เค้าก้อต้องขโมย มันบาป” แม้เด่นจะคิดว่า หากมีคนใจดีแบบนี้อยู่มากๆ คนจนคงงอมืองอเท้า ไม่ดิ้นรนทำมาหากิน แต่เด่นก็อดประทับใจคุณป้าไม่ได้ เท่าที่แม่เล่าให้ฟัง ป้าเป็นคนใจดี ใครชักชวนเอ่ยปากให้ร่วมบุญร่วมทานใด ป้าไม่เคยปฏิเสธเลยสักครั้ง ร่วมบุญทุกครั้งที่มีโอกาสมาโดยตลอด 
     เด่นทำงานรับเหมาเกี่ยวกับการออกแบบระบบบำบัดน้ำเสียซึ่งไม่มีกำไรมากนัก แต่พออยู่ได้ไม่เดือดร้อนเพราะเด่นดำเนินธุรกิจแบบมีกรอบคุณธรรม ไม่ขูดรีดกำไรจนเกินไป แบบที่ป้าและพ่อแม่สอนสั่ง ส่วนป้ายังเปิดร้านขายของชำที่ต่างจังหวัด พออยู่ได้เช่นกัน เพราะร้านสะดวกซื้อและห้างค้าปลีก ยังไม่สนใจหมู่บ้านเล็กๆ ป้ายังขายของอยู่ เพราะเหตุผลว่าคนในหมู่บ้านจะเข้าเมืองก็ลำบาก ขายของให้เขาจะได้สบายๆ ไม่ต้องเดินทางไกล Facebook ทำให้เด่นยังได้คุยกับลูกพี่ลูกน้องรุ่นราวคราวเดียวกัน ที่เป็นลูกของป้า เขาได้รู้และรู้สึกยินดีกับป้าและลุงเขยที่เพิ่งจะขายที่ดินจำนวน 10 ไร่ ได้เงินมากพอที่จะไปซื้อที่ดินที่จังหวัดนครสวรรค์เกือบ 300 ไร่ เพื่อเริ่มการปลูกยาง ไม้เศรษฐกิจที่กำลังมีราคาดี และจะกันที่ปลูกข้าวเพื่อทำสวนเกษตรแบบเศรษฐกิจพอเพียง เด่นรู้สึกว่าสวรรค์ได้ตอบแทนคนดีๆ อย่างท่าน ถ้าเด่นเดาไม่ผิด คุณป้าคงกันที่ไว้ปลูกข้าว ปลูกกล้วย เพื่อแจกคนจนแน่นอน ว่าแล้วเด่นจึงส่งข้อมูลแบบการสร้างจักรยานสีข้าว จักรยานสูบน้ำ กังหันลมสูบน้ำจากถัง 200 ลิตรใบเก่า เครื่องกรองน้ำจากถังเก่าใส่ทรายและถ่านแกลบ ไปให้ลูกพี่ลูกน้องของเขาพิจารณา เผื่อว่าจะได้เอาไปให้คุณป้าใช้งานในสวน 
     ภาพความสุขของครอบครัวป้ามีอยู่ได้ไม่นานนัก เหมือนสวรรค์เปลี่ยนใจมากลั่นแกล้ง หลังจากนั้นไม่นาน เด่นได้ทราบว่า ป้าป่วยเป็นมะเร็ง เด่นเกิดความสงสัย คนใจบุญที่ทำดีมาทั้งชีวิตแบบป้า ไม่น่าจะไม่ต้องมาประสบชะตากรรม พบเรื่องราวร้ายๆ หรือว่าผลบุญไม่ช่วยป้าเลย รับรู้ข่าวของป้ามาโดยตลอด รับรู้ว่าป้าต้องทนทุกข์ทรมานกับการรักษามะเร็งด้วยยาเคมีบำบัด อยู่เนิ่นนาน จนป้าบอกว่าจะไม่ไปรักษาแผนปัจจุบันอีกแล้ว ด้วยความห่วงใยคุณป้า แม่และเด่นพยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับ หมอสมุนไพรที่มีจรรยาบรรณและเชื่อถือได้ จนในที่สุดก็เจอหมอดีเข้า หมอคนนี้มีสูตรยาต้มที่ระงับมะเร็งได้ คนป่วยยากจนที่ไม่มีเงินไปรักษากับแผนปัจจุบันมารักษากันมาก และส่วนใหญ่ได้ผลดีด้วย มีหลักฐานยืนยันจากผู้ป่วยหลายราย ซึ่งดีขึ้นจากการแพทย์ทางเลือกนี้ เด่นลงทุนไปหาหมอในวันหยุด เมื่อพบกับหมอแล้วยิ่งเกิดความศรัทธา บ้านหลังเล็กมีสมุนไพรอยู่เต็ม มีคนป่วยมาพบมากพอควร ในระหว่างที่รอคิวพบหมอ ก็พบเจ้าหนี้ของหมอยา มาทวงหนี้และค่าเช่าบ้านข้างๆ ที่หมอยาเช่าใช้เป็นที่เก็บยา เจ้าหนี้คนนี้ใจดีมาก แกมาถามดีๆ ว่า เดือนนี้มีจ่ายไหม หมอยาบอกขอผัดผ่อนไปก่อน พร้อมให้เหตุผลว่า เดือนที่แล้วคนจนมารักษาเยอะ เลยต้องรักษาฟรีไปบ้าง รับเงินพอแค่เขามีจ่ายบ้าง เจ้าหนี้ก็ยิ้มไม่ว่าอะไร บอกว่าไม่เป็นไร สำหรับหมอมีเมื่อไรค่อยจ่ายก็ได้ เมื่อถึงคิวเด่นซึ่งขอพบหมอเป็นคนสุดท้าย หมอกลับไม่ยอมจ่ายยา บอกว่าอยากให้พาคนป่วยมาดูสภาพ ถ้าทำได้ ถามแค่ว่ายังกินข้าวดื่มน้ำเองได้นะ เพราะต้องกินยาต้ม เด่นถามหมอว่า ทำไมไม่ขึ้นราคายาละครับ จะได้มีเงินจ่ายหนี้ ซื้อบ้านข้างๆ ที่ปกติเช่าเป็นคลังเก็บยา หมอตอบกลับด้วยคำพูดที่เด่นประทับใจว่า จะเอาอะไรหนักหนา กับคนเจ็บคนป่วย แค่เขาเจ็บป่วย เขาก็ทุกข์ทรมานมากพออยู่แล้ว”  
     เด่นเชื่อว่าสวรรค์กลับมาช่วยคุณป้าแล้ว ป้าจะได้เจอหมอดี  และจะรีบพาป้ามาหาหมอ บุญย่อมรักษาคนดี เจอหมอดีขนาดนี้ ในที่สุดป้าก็ได้ไปซื้อยากินตามคำแนะนำของเด่น เด่นดีใจที่รู้ว่าป้ามีกำลังใจขึ้นมามาก ใช่สิ สวรรค์ต้องคุ้มครองคนดีๆ เด่นคอยลุ้นอย่างใจจดใจจ่อ ว่าอาการป้าจะดีขึ้นไหม คอยถามข่าวอยู่อย่างสม่ำเสมอ แล้วก็เป็นไปตามคาด แค่เจ็ดวันป้าก็ดีขึ้น เพราะไม่มีอาการปวดกระดูกเหมือนเคย แต่ยังเหนื่อยหอบอยู่ เด่นคิดว่า แน่นอน คนดี สวรรค์ย่อมคุ้มครอง ดลใจให้ เจอหมอดียาดี อาการก็ต้องดีขึ้น 
     แต่แล้ววันที่แปดก็ได้ข่าวว่า ป้าไม่ยอมกินอะไรเลย วันนึงกินข้าวคำสองคำ แต่ลูกป้าอีกคนที่เฝ้าไข้อยู่ ก็พยายามหยอดยาตามลงไปในปากของแกไม่ให้ขาด หยอดได้ 1-2 ช้อน ไม่เต็มแก้ว เช้าเย็นอย่างเคย เด่นรู้สึกไม่สบายใจจนกังวล เพราะยาที่เขาแนะนำไม่ถูกกับโรคหรือเปล่า ป้าทรุดเพราะ ยานั้นหรือเปล่า

     คืนหนึ่งเด่นฝันไป เด่นฝันว่า ได้เทียวไปเทียวมา ซื้อยาไปให้ป้ากินอยู่หลายต่อหลายเที่ยว แต่ป้าก็ไม่ดีขึ้น จากยาหนึ่งชะลอม เป็นสองชะลอม จนเป็นห่อใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายเมื่อวางห่อยาขนาดใหญ่ลง แกะผ้าห่อออก ปรากฏว่าในห่อใหญ่ กลับกลายเป็นโลงศพขนาดใหญ่สวยงามสีขาว มีลายเขียนสีเป็นสีทอง เปิดโลงศพดูพบเพชรเม็ดใหญ่อยู่หนึ่งเม็ด ในโลงศพนั้น แล้วก็มีฝูงหุ่นกระบอกผู้หญิงบินได้เป็นจำนวนมากแต่ละตัว สวยงามมีอาภรณ์ประดับแวววาวระยิบระยับทุกตัว บินลงมาวนเวียนที่ตัวเด่น หุ่นกระบอกที่สวยงามตัวหนึ่ง กล่าวกับเด่นด้วยเสียงเล็กแหลมว่า 
รักษาไม่หาย ยังไงก็ต้องตาย ใส่โลงศพนี้ แน่นอน” เด่นสะดุ้งตกใจตื่น ดูนาฬิกาพบว่าเป็นเวลา 2:55 น. ของวันใหม่ เกิดความสะพรึงกลัวในความฝันอย่างบอกไม่ถูก จนถึงขั้นไม่กล้าลุกไปเข้าห้องน้ำทั้งที่ปวดปัสสาวะอยู่นาน ตอนสาย ลูกพี่ลูกน้องของเขาประกาศข่าวการเสียชีวิตของคุณป้า ว่า แม่หลับสบายแล้ว ต่อไปจะได้ไม่ต้องเจ็บต้องปวดอี

ทราบภายหลังว่าป้าสิ้นลมในเวลา 
3:05น. 
_______________________________

    ความดีที่คุณป้าทำมาตลอดชีวิตไม่ได้ช่วยป้าเลย เด่นคิดว่าสวรรค์ไม่ยุติธรรม จากเหตุการณ์ในครั้งนั้น เด่นเลิกเชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ คิดว่ามันเป็นเรื่องหลอกคนให้ง่ายต่อการปกครองในสมัยก่อน เริ่มใช้ชีวิตอย่างไร้ศีลธรรม และพบว่าชีวิตของเขาดีขึ้นเรื่อยๆ รายได้มากขึ้นจากการขูดรีดเอากำไรจากคนที่ไม่รู้ ขายของถูกๆ ในราคาแพง เมื่อกล้าขูดรีดเอากำไรครั้งหนึ่ง ก็กล้าทำขึ้นเรื่อยๆ อย่างย่ามใจ จนในที่สุดก็ได้รับงานใหญ่มา เป็นการปรับปรุงบ่อน้ำโบราณอายุสองร้อยปีเศษในวัดแห่งหนึ่ง รายละเอียดคือ เปลี่ยนสระน้ำซึมที่ถูกละเลยจนน้ำเน่า ขยะเต็ม ให้มีสภาพดีขึ้น ติดเครื่องสูบ ไปลงเครื่องกรองที่ใช้ทราย ถ่านแกลบ กรวด หิน ให้น้ำที่เคยขุ่นมีตะไคร่ใสขึ้น เพื่อนำน้ำไปรดน้ำต้นไม้ ล้างพื้น และ ราดส้วม เพื่อที่จะลดปริมาณการใช้น้ำประปา น้ำส่วนใหม่จากดินรอบๆจะซึมเข้ามา (ไม่ใช่น้ำบาดาลใต้ดินลึกๆ ที่หากสูบขึ้นมาใช้มากเกินไป อาจส่งผลให้ดินทรุดตัว) ทำให้น้ำมีสภาพดีขึ้น งานนี้กำไรมหาศาลรออยู่ ผู้ตรวจรับเป็นพระสงฆ์ที่ไม่เชี่ยวชาญเรื่องเครื่องสูบน้ำ และทางวัดก็จ่ายสดไม่มีเชื่อด้วย ขอเบิกเท่าไรก็ให้ตลอดไม่มีปฏิเสธ เพราะมีเจ้าภาพหลายคนร่วมทอดผ้าป่าถวายเงินไว้แล้ว อีกทั้งหัวหน้าคณะของเจ้าภาพ ก็เป็นเศรษฐีหุ้น พร้อมเพิ่มเงินให้หากเงินไม่พอ
_______________________________

ในที่สุดวันส่งมอบงานให้ทางวัดก็มาถึง พระสงฆ์องค์เจ้าประทับใจในผลงานมาก งานสมบูรณ์จนแทบจะไม่มีที่ติ จนหลายคนถามเด่นว่าทำงานดีขนาดนี้จะมีกำไรเหรอ เด่นยิ้มอย่างพอใจ บอกว่า 
เอาน่า ถือว่าร่วมทำบุญละกัน ปกติคนเราทำบุญค่าน้ำประปาให้วัด ก็ประหยัดแค่เงินที่ถวายนั้น แต่ถ้าเราถวายระบบที่ช่วยประหยัดน้ำได้ในระยะยาว วัดก็ประหยัดเงินได้มาก แถมยังมีจักรยานสูบน้ำเป็นพลังงานทางเลือกลดการใช้ไฟฟ้า แถมพระเณรชาวบ้านรอบวัดได้ออกใช้เป็นที่ออกกำลังกายได้อีกด้วย” เด่นได้กลับใจ ทุ่มเททำอุปกรณ์ทุกอย่างที่เคยคิดจะ ทำให้ป้าใช้ ที่สวนสามร้อยไร่ของป้า ซึ่งสุดท้ายไม่ได้ทำ เพราะ ป้าเสียไปซะก่อน_______________________________

     เด่นไม่ได้เล่าให้ใครฟัง ถึงสาเหตุที่ทำให้เขาเปลี่ยนใจไม่ขูดรีดวัดอย่างที่ตั้งใจทำในตอนแรก เนื่องจากความฝันของเขา ในคืนหนึ่งในระหว่างที่รับงาน ณ วัดนี้ เด่นไม่อยากเล่า เพราะมันเป็นความเชื่อส่วนบุคคล และคนบางคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ เย็นวันหนึ่ง เด่นยืนที่ริมสระในวัดนึกในใจ ว่า 
ป้า ค้าขายแบบป้าเมื่อไรจะรวย ต้องขูดรีดแบบผม ตั้งแต่ผมเริ่มทำธุรกิจแบบเอาเปรียบ ขูดรีดคนที่ไม่รู้ ผมรวยเอาๆ ผมอาจเหมือนร้านชำที่เอาเปรียบ ที่วันหนึ่งอาจถูกร้านสะดวกซื้อ มาแย่งลูกค้าจนเจ๊ง แต่ธุรกิจที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะอย่างผม คงอีกนานกว่าจะมีคนมาแข่งได้ ป่านนั้นผมก็รวยแล้ว ป้ารู้ไหม ขนาดเศรษฐีที่ขุดบ่อถวายวัด ยังเป็นโรคอหิวาตกโรคตายเลย การได้รับผลดีชั่ว มันเป็นผลจากความบังเอิญ เรื่องกรรมวิบากเป็นเรื่องที่ใช้หลอกคนเท่านั้น
     เด่นได้พบคุณป้าร้านขายของชำอีกครั้งในความฝัน แกแต่งกายชุดขาวสะอาด แกมาบอกว่า 
ตอนนี้แกอยู่บนสวรรค์ในวิมานอย่างมีความสุขแล้ว นึกถึงเด่น เห็นว่ากำลังจะโกงวัดโกงพระโกงเจ้าทำบาปใหญ่ เลยลงมาหาเพื่อห้าม และอยากจะบอกว่าทำดียังไงก็ต้องได้ดี แม้ไม่เห็นกันในภพปัจจุบัน ก็จะติดตัวคนทำดีไป จนกระทั่งให้ผลสักวันหนึ่งแน่นอน ป้ากับท่านเศรษฐีที่ขุดสระน้ำถวายวัด อาจจะตายด้วยโรคร้าย ก็เพราะกรรมเก่าที่ป้าเคยค้าขายยาพิษในอดีตชาตินานมาแล้ว และท่านเศรษฐีที่อดีตชาติได้วางยาศัตรูจนตายเช่นกัน” ป้าพูดต่อ ตอนนี้ชดใช้หนี้กรรมหมดแล้ว และกำลังเสวยความสุขอยู่ในวิมาน ด้วยแรงส่งของกุศลกรรมที่ตั้งใจทำมาตลอดชีวิต วัฏสงสารนี้ยาวไกลนัก จะมีสักกี่ชาติ ที่ได้พบพระพุทธศาสนา รู้กฎแห่งกรรมวิบาก. “ป้าหิวบ้างไหม” เด่นถาม ป้าบอกว่า แค่คิดก็อิ่มแล้ว ไม่รู้จักคำว่าหิวเลย เป็นผลจากที่ป้าชอบให้ของกินคนอื่น และปรารถนาให้เขาอิ่ม ไม่ต้องทุกข์ทรมานจากความหิวโหย

     ป้ายังบอกด้วยว่า 
ลึกลงไปหนึ่งวา ที่กึ่งกลางบ่อ มีตุ๊กตาหินจีนรูปนักรบสวยงามตัวหนึ่งจมอยู่ใต้บ่อ นำตุ๊กตานั้นขึ้นมาด้วยนะ ท่านเศรษฐีพ่อค้าที่ไปค้าขายที่เมืองจีนสมัยอยุธยา นำตุ๊กตาพวกนี้ถ่วงห้องอับเฉาเรือ ในตอนขากลับที่เรือว่าง ถ่วงเรือไม่ให้ล่ม และนำมาถวายวัดนี้ พร้อมขุดสระน้ำนี้ถวาย ตุ๊กตาหินตัวนี้ตัวใหญ่ สูงเกือบสองเมตร แบ่งเป็นสองส่วน ต่อกันด้วยสลักซึ่งเป็นแท่งหินที่ระดับเอวสลักของตุ๊กตานั้นเก็บอยู่ในวิหารข้างโบสถ์ ส่วนง้าวของตุ๊กตาหิน ตอนนี้ด้ามถูกวางพาดเป็นเชิงเทียนในโบสถ์ ใบง้าวอยู่ใต้ฐานพระพุทธรูป จัดการประกอบให้เรียบร้อยนะ

เด่นเชื่อว่าเขาไม่ได้ฝันเหลวไหล เพราะเมื่อสูบน้ำเก่าหมดบ่อ ขุดดินลึกลงไปอีกสองเมตรที่กึ่งกลางบ่อ ก็พบตุ๊กตาเนื้อหินเขียวสวยงามตัวหนึ่ง ที่แบ่งเป็นสองชิ้นจริงๆ สลักของตุ๊กตา ด้ามง้าวและ ใบง้าว อยู่ในที่ตามที่ป้าพูดให้ฟัง และตอนนี้ทางวัดได้เชิญตุ๊กตาตัวนี้ ออกมาตั้งแสดงอยู่ที่มุมหนึ่งในวิหารข้างสระน้ำ 
     เด่นกำลังจ้องมองตุ๊กตาหินเขียว มันเป็นประจักษ์พยานของสิ่งลี้ลับที่มีอยู่จริง และคิดถึงป้าที่เชื่อเรื่องภพภูมิอื่น การเวียนว่ายตายเกิด และกฎแห่งกรรม เด่นหันมาเป็นผู้ประกอบอาชีพตามหลักคุณธรรม เพื่อความสุขของสังคมอีกครั้ง


จาก เวปไซท์ ธรรมะใกล้ตัว
-- 
.
-- 
**** รู้จักขอบคุณเมื่อได้รับ ขออภัยเมื่อผิดพลาด ****
กติกา
1. ห้ามโพสเรื่องการเมือง หรือถกเถียงเรื่องการเมืองที่จะก่อความวุ่นวายภายในกลุ่ม
2. ห้ามโพสรูปภาพหรือข้อความที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ในทางเสื่อมเสีย
3. ห้ามใช้วาจาหยาบคาย ห้ามบ่นว่าเมล์ หรือ reply เยอะ 
4. ห้ามโฆษณาที่หวังผลประโยชน์ทางการค้า ใครโพสแบนทันทีโดยไม่แจ้งให้ทราบ
5. ไม่ได้รับเมล์อีกกดลิงค์นี้ http://groups.google.com/groups/bounced
6. กรุณาใช้ถ้อยคำที่สุภาพ
7. ห้ามส่ง Invite เวปบิทเข้ากรุ๊ปโดยเด็ดขาด
8. ห้ามใช้ตัวหนังสือ สีแดงใหญ่ในการโพสเมล์ปกติ
9. ห้ามโพส รูป คลิป หรือ ข้อความต่างๆ ที่จะทำให้ผู้อื่นเกิดความเสียหาย
(เช่น แอบถ่าย ภาพหลุด หรือข้อความโจมตี ต่างๆ )
 
- ส่งเมล์เข้ากลุ่มได้ที่ noolex@googlegroups.com
- สมัครรับเมล์-ส่งเมล์เปล่ามาที่ noolex+subscribe@googlegroups.com
- ลาออกจากกลุ่ม-ส่งเมล์เปล่ามาที่ noolex+unsubscribe@googlegroups.com
 
อย่าลืมนะคะ มีอะไรก็แบ่งปัน
^ นู๋เล็ก ^ 
Group's Owner
(-`๏’•ิ__•ิ`๏’-)

ที่มา : Dong

29 สิงหาคม 2555

อดีตอันรุ่งเรืองของลุงบาแดง



อดีตอันรุ่งเรืองของลุงบาแดง


โดย ธีระวัฒน์ อนันตวรสกุล
     ระหว่างนั่งรถสองแถวจากตัวอำเภอไพศาลี กลับสวนของแก ลุงแดงฆ่าเวลาด้วยการอ่านบทความในนิตยสารลี้ลับ เกี่ยวกับการระลึกชาติด้วยความสนใจ มันเป็นเรื่องของฝรั่งคนหนึ่งที่มาเที่ยวประเทศไทย ได้และเหยียบไปบนจุดที่ตนเองเคยสิ้นใจตาย และระลึกชาติได้ในฉับพลันทันใด ฝรั่งคนนั้นเล่าว่า เคยเกิดสมัยอยุธยา และถูกเกณฑ์ไปรบกับพม่า แต่เป็นไข้ป่าตายระหว่างทาง สมัยนั้น คิดอิจฉาฝรั่งที่เป็นที่ปรึกษาพระเจ้าแผ่นดิน มีความเป็นอยู่สุขสบาย มีคนนับหน้าถือตา พอตายไปเลยไปเกิดเป็นฝรั่ง ที่ต่างประเทศสมใจ.....
ไม่ทันอ่านจบดีก็ถึงที่หมายที่แกต้องลง แกคงต้องเดินต่อไปยังสวนของแก
ลุงแดงไม่มีลูก ส่วนเมียของลุงตายไปนานแล้ว เพราะถูกคนร้ายรุมฆ่าข่มขืนชิงทรัพย์ สร้างความเจ็บปวดเป็นแผลในใจแก เพราะ แม้แต่ กฎหมายบ้านเมืองก็ยังไม่อาจนำคนผิดมาลงโทษได้ แกจึงอยู่คนเดียว ครุ่นคิดก่นด่าเทวดาฟ้าดินว่าไม่เคยให้ความเป็นธรรมกับแก
พื้นเพแกไม่ใช่ชาวสวน แกเกิดที่พระโขนง กรุงเทพฯ ไม่เคยมีประสบการณ์ทำสวนมาก่อน แกเคยทำงานโรงงานแถวพระประแดง ตั้งแต่หนุ่มๆ อยู่ยี่สิบกว่าปี ก่อนมาขับสามล้อที่พระโขนง เพราะเบื่องานโรงงาน
ชื่อจริงของลุงแดง คือ บาแดง เป็นชื่อแปลกที่พระเขมรตั้งให้
เป็นโชคดีที่ที่ดินของแกนั้น แกซื้อมาได้ในราคาถูก เนื่องจากมีเสียงร่ำลือว่าผีดุหนักหนา แกก็อยู่มาหลายเดือน ที่เคยเจอก็แค่ตอนย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ แกฝันเห็นบรรดาผู้คนยุคโบราณ แต่งกายแปลกๆ มาร้องเรียกแกด้วยภาษาคล้ายกับภาษาเขมร
ลุงแดงนั้น แม้จะไม่มีเชื้อสายเขมร แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าแปลก ตอนที่ ลุงแดงทำงานที่โรงงานย่านพระประแดงนั้น ลุงแดงมีเพื่อนเป็นคนจากบุรีรัมย์คนหนึ่ง ลุงแดงเรียนภาษาเขมรจากเพื่อนผู้นั้นจนเป็นอย่างรวดเร็วจนเพื่อนชาวบุรีรัมย์ตกใจ นับเป็นเรื่องที่แปลกมาก
ในฝันคืนนั้น ผู้คนในฝันนั้นล้วนท่าทางน่ากลัว แต่ให้ความเคารพนบนอบต่อลุงแดงเป็นอย่างยิ่ง ล้วนหมอบนั่งอยู่ในที่ดินของแก บอกแกว่า รอแกมากว่าหนึ่งพันปีแล้ว ได้โปรดช่วยทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ทั้งหลายโดยไม่เจาะจง
ลุงแดงใส่บาตร ทำบุญ ตามสมควรแก่ฐานะไม่ขาด แล้วก็อุทิศส่วนบุญส่วนกุศล ไปให้วิญญาณคนโบราณเหล่านั้น
..........................
การเกษตรพอเพียง จำเป็นต้องขุดสระน้ำบนพื้นที่สามสิบเปอร์เซนต์ เพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ตลอดปี ลุงแดงในวัยห้าสิบปี ยังคงแข็งแรงกว่าคนวัยห้าสิบปีทั่วไป ค่อยๆ ขุดดินวันละนิดวันละหน่อย เหนื่อยก็หยุด
โชคดีเป็นของแกในวัยห้าสิบปี ในวันหนึ่งจอบของแกก็ขุดพบอะไรบางอย่าง เมื่อตรวจดู มันเป็นไหดินเผาเก่าโบราณมีพระเครื่องเนื้อดินบรรจุ ลุงแดงพอจะดูพระเครื่องเป็นอยู่บ้าง และรู้ว่าพระดินที่เขาพบเป็นพระเครื่องกรุศรีเทพ ที่มีการพบที่เมืองเก่าศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ ไหใบนั้นมีพระอยู่กว่าสามสิบองค์ มวลสาร เนื้อหา ความเก่า ตลอดจนตำหนิพิมพ์ ถูกต้องตรงตามลักษณะของพระศรีเทพที่ได้รับความนิยมในวงการพระเครื่อง ซึ่งในวงการได้กำหนดราคาเช่าหาพระกรุศรีเทพกันถึงหลักแสนบาท
ชีวิตสงบของแก จึงมีเรื่องสนุกอีกครั้ง
ลุงแดงวางแผนค่อยๆ ปล่อยพระทีละองค์ เพื่อนำเงินมาใช้จ่ายตามความจำเป็น และนำเงินมาทำบุญให้บรรดาวิญญาณคนโบราณที่อาจช่วยเหลือประทานพระเครื่องเหล่านั้นมาให้แก ลุงแดงรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ควรเอิกเกริกแพร่งพรายข่าว เพราะหากมีใครรู้เข้าอาจจะถูกปล้นได้
พระองค์แรกถูกปล่อยออกไป เขาเข้าไปปล่อยพระในกรุงเทพฯ ด้วยตนเอง ได้เงินมาแล้วก็ยังทำตัวเป็นปกติ
แกคิดจะจ้างรถแบล็คโฮล์มาขุด แต่เปลี่ยนใจเพราะกลัวว่าหากเจอพระเครื่องเพิ่มจะเป็นเรื่องราวใหญ่โต
ขณะที่ขุดสระน้ำด้วยแรงกายนั้น ลุงแดงนั่งคิดเล่นๆ ไปว่า คนโบราณนี่ต้องเหนื่อยยากขนาดไหนที่จะขุดสระน้ำกว้างใหญ่ แกเคยไปชมโบราณสถานเมืองศรีมโหสถ ที่ปราจีนบุรี พบบาราย แหล่งน้ำใหญ่ที่ขุดด้วยมือคน โดยไร้เครื่องจักรทุ่นแรง
เมื่อมีเงินพร้อมแล้ว วันหนึ่งแกตัดสินใจนิมนต์พระเพื่อถวายภัตตาหารเพลทั้งวัด ซึ่งมีพระทั้งหมดเก้ารูป พร้อมอุทิศส่วนกุศลให้บรรดาคนโบราณเหล่านั้น ลุงแดงได้พบกับหลวงตาแก่ๆ รูปหนึ่ง ท่านมีร่างกายใหญ่โตอย่างคนโบราณ หลวงตามองลุงแดง ลุงแดงคล้ายกับว่าเคยรู้จักคุ้นเคยกันมาก่อนแต่จำไม่ได้ว่าที่ไหน
ลุงแดงพยายามหาข้อมูลเรื่องหลวงตาชรารูปนั้น ทราบแต่ว่า ท่านเป็นเพียงพระลูกวัดที่ชราแต่มีวิทยาคมสูงส่ง เคยธุดงค์ไปถึงเขมร พม่า ลาว ท่านปลูกกุฏิแยกอยู่ท้ายวัดติดกับป่าช้า ปฏิบัติอยู่ในพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัดยิ่ง แม้ท่านจะมีวิทยาคมสูงส่งเพียงใด แต่ท่านก็ไม่นิยมติดต่อกับหมู่คณะ เคยมีคนมาลองของลองวิชากับท่านมากมาย แต่สุดท้ายก็ศิโรราบหมอบกราบกลับไปสิ้น
มีครั้งหนึ่ง มีเสือโคร่งดุร้ายหลงเข้ามาในหมู่บ้าน ท่านสามารถเรียกและสั่งให้มันเชื่องเป็นแมว จนจับใส่รถเพื่อไปปล่อยคืนในป่าได้ เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ท่านได้รับความเคารพจากชาวบ้าน แต่ท่านก็ยังไม่สุงสิงกับใคร ไม่แจกเครื่องรางของขลัง สั่งสอนแต่เพียงว่าให้รักษาศีลทำความดี ชาวบ้านเรียกท่านว่า หลวงพ่อปราบเสือ
ลุงแดง กราบท่านอย่างศรัทธา ท่านพูดกับลุงแดงเป็นภาษาเขมร เพียงสั้นๆ ว่าให้ลุงแดงเดินทางไปศรีชัยวชิรปุระ
เขารู้สึกคุ้นๆ กับคำนี้ คำที่มีพลัง เหมือนเคยเป็นเป้าหมายหนึ่งในชีวิตของลุงมานานแสนนาน
.................
เศรษฐีเงินล้านหากนับรวมพระเครื่องล้ำค่าที่ครอบครอง ยังคงใส่เสื้อปะขาด นั่งรถสองแถวอย่างซอมซ่อ ความบังเอิญดลให้เขาพบกับ นักศึกษาวิชาโบราณคดีที่จับกลุ่มกันมาศึกษาแหล่งโบราณคดีที่เมืองไพศาลี ลุงแดงใจดีเลี้ยงข้าวกลางวันเด็กๆ เหล่านั้น และได้รู้ว่าศรีชัยวชิรปุระ เป็นชื่อที่ขอมเรียกเมืองที่เป็นเขตจังหวัดเพชรบุรีในปัจจุบัน และที่นั่นยังมีวัดพระศรีมหาธาตุที่มีลักษณะเป็นปรางค์แบบศิลปะขอมอยู่
เมื่อพันปีที่แล้ว ขอมเรืองอำนาจ อิทธิพลของขอมแผ่ขยายมาถึงอาณาจักรในที่ราบลุ่มภาคกลางของประเทศไทยในปัจจุบัน
.........................
ลุงแดงเดินทางอย่างเดียวดายไปเที่ยวจังหวัดเพชรบุรี และได้ไปที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดเพชรบุรี พิศมองสถาปัตยกรรมขอมโบราณที่ยังเหลือเค้าแม้ลางเลือน จากนั้นก็ออกเดินทางไปที่หาดเจ้าสำราญ
ณ มุมสงบริมทะเล ลุงแดงนั่งนิ่งพักผ่อนมองทะเล  แล้วประสบการณ์ประหลาด ก็ได้บังเกิดกับลุงแดง
ลุงแดงรู้ขึ้นมาทันทีว่า จุดที่เขานั่งอยู่นี่เป็นจุดเขาได้จบชีวิตในอดีตชาติชาติหนึ่ง ณ จุดๆ นี้ ร่างกายในชาติเก่าของแก ย่อยสลายเป็นผุยผงไปหมดแล้ว แต่ความทรงจำจากชาตินั้นปรากฎชัดขึ้น แจ่มแจ้งชัดเจนจนน่าประหลาดใจ เหมือนเรื่องที่แกเคยได้อ่านพบจากนิตยสารประเภทเรื่องเร้นลับไม่นานนี้
เขาทบทวนความทรงจำเหล่านั้น ตลอดเส้นทางที่เดินทางกลับไพศาลี
.......................
ความทรงจำชาติเก่าของเขามีว่า เมื่อประมาณพันปีที่แล้ว เขาเป็นข้าราชการในราชสำนักเขมร ดำรงค์ตำแหน่ง พญาบาแดง หรือ ผู้ส่งสารระดับหัวหน้า ในเมืองพระบาแดง เมืองปากอ่าวชายทะเล ของราชอาณาจักรขอมโบราณ (ปัจจุบันตั้งอยู่ที่เขตพระโขนง กรุงเทพฯ)
ในเวลานั้น ปากอ่าวไทยมีปัญหาตรงข้ามกับปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง คือ ตะกอนดินในแม่น้ำพอกพูน ถมทะเลลงไปเรื่อยๆ ก่อให้เกิดแผ่นดินใหม่ ยื่นลงไปในทะเลมากขึ้นๆ จนจำเป็นต้องมีการย้ายเมืองปากอ่าวใหม่ จาก พระบาแดงเดิม ไปอยู่ใกล้ทะเลมากขึ้นที่เมือง พระบาแดงใหม่ (ปัจจุบันคือ อำเภอพระประแดง)
เหตุการณ์ในห้วงเวลานั้น ผิดกับปัจจุบัน ที่น้ำทะเลกัดเซาะรุกแผ่นดินจากภาวะโลกร้อน จนพื้นที่หายไปหลายร้อยไร่แล้วในขณะนี้
เมืองพระบาแดงเป็นเมืองสำคัญปากอ่าว ต้องส่งข่าวการศึกไป ละโว้ หรือ ลวปุระ (ลพบุรี) เป็นเมืองที่คอยเฝ้าระวังทางทะเล
หลังจากงานใหญ่ย้ายเมือง เขาได้รับการแต่งตั้งให้ไปทำราชการที่ เมืองอภัยสาลี (อำเภอไพศาลี ในปัจจุบัน) และเขาได้รับมอบหมายงาน ให้ไปรวบรวมของป่าหาสมุนไพรที่ป่าในเขต เมืองศรีชัยสิงหปุระ (บริเวณปราสาทเมืองสิงห์ จังหวัดกาญจนบุรี) และ ศรีชัยวชิระปุระ (เมืองเพชรบุรี) เพื่อรวบรวมส่งไปยังราชสำนักขอม ที่ตั้งราชธานีอยู่ ณ กรุงศรียโสธรปุระ (นครวัด นครธม)
ความผูกผันกับเมือง พระบาแดงเก่า (ที่พระโขนง กรุงเทพฯ) และ เมืองพระบาแดงที่ย้ายไปใกล้ปากอ่าว (ที่อำเภอพระประแดง สมุทรปราการ) ลุงแดงภูมิใจกับการย้ายเมืองที่เขามีส่วนสำคัญส่วนหนึ่ง และยังคงผูกพันกับ พระบาแดงเก่า (พระโขนง) และทำงาน พระบาแดงใหม่ (พระประแดง) แม้ว่า ภายหลังจะได้แต่งตั้งให้ทำราชการที่ นครอภัยสาลีก็ตาม จึงยังคงไปเกิดที่พระโขนง ไปทำงานที่พระประแดง
ที่น่าสลดใจที่สุด คือ ชาติเก่าของเขานั้น เขาร่ำรวยมีทรัพย์สมบัติมากมาย และที่ดินบริเวณที่เขาซื้อนั้นเคยเป็นของเขามาแล้ว เป็นไร่นาพระราชทานมีอาณาเขตกว้างขวางใหญ่โต นอกเขตนครอภัยสาลี ทางผ่านไปเมืองศรีเทพ
หนึ่งพันปีผ่านไป ที่ดินอยู่ที่เดิมแต่เขาอยู่ในภพชาติใหม่ เขาต้องใช้เงินเก็บของเขาทั้งชีวิต ซื้อที่ดินที่เคยเป็นของเขาหรือนี่ เขาเสียเงินไปทั้งหมดเพื่อจะกลับมาที่นี่ หากเขายังครองหนังสือราชโองการแห่งกษัตริย์ขอม และนำไปอ้างกับสำนักงานที่ดิน ก็ถูกคนหัวเราะเยาะเป็นแน่
สมัยหนึ่งพันปีที่แล้ว บริเวณบ้านของเขาติดลำน้ำใหญ่ มีเรือสินค้าขึ้นล่อง แต่ปัจจุบันตื้นเขินไปหมดแล้ว เนื่องจากลำน้ำเปลี่ยนทิศทางไปตามกาลเวลา ลำน้ำใหญ่หายไปไม่เหลือเค้าแม้ลำธาร เหมือนความยิ่งใหญ่ในอดีตชาติของเขา
แต่สิ่งที่เขาจำได้ คือ ทรัพย์สมบัติสุดหวงแหนที่เป็นเครื่องทองพระราชทานจำนวนหนึ่งหีบยังซ่อนอยู่ที่นี่ ในที่ดินของเขานี่เอง
เขาได้กลับมาแล้ว นครอภัยสาลี ที่ปัจจุบันกลายเป็น เมืองไพศาลี
แผนการขุดสระของลุงแดงเปลี่ยนไปจากจุดเดิม แผนจะไม่เปลี่ยนเลยถ้าเขาไม่ไปที่ ศรีชัยวชิรปุระ
ลุงแดงดำเนินการขุดกรุสมบัติของเขาต่อไปทีละน้อยๆ ไม่เปิดเผยให้ใครทราบ ลุงแดงครุ่นคิดว่า จะทำอย่างไรกับสิ่งของเหล่านั้น หากพบเจอมันอีกครั้ง ปัจจุบันมันเป็นโบราณวัตถุศิลปะขอม อายุนับหนึ่งพันปีที่มีค่าประมาณไม่ได้ หากล่วงรู้ถึงเจ้าหน้าที่ราชการคงถูกยึดเป็นสมบัติของแผ่นดิน แม้แต่ของที่เคยเป็นของตัว อาจไม่ใช่ของตัวอีกต่อไป
จอบอันน้อยของเขาแตะกับแนวอิฐ ด้านบนของฐานกรุแล้ว ในจังหวะเดียวกันนั้น หลวงพ่อปราบเสือ ก็ปรากฏตัวที่ปากหลุม
หากไม่มีหลวงพ่อ เขาคงไม่ได้ไปศรีชัยวชิรปุระ จอบของเขาอาจไม่มีวันได้แตะแนวอิฐตรงนั้น
ลุงแดงพักงาน กลบดินไว้พออำพรางไม่ให้ใครเห็นแนวอิฐ แล้วขึ้นไปสนทนากับหลวงพ่อเป็นภาษาขอมโบราณ
หลวงพ่อกล่าว ตัวท่านผูกพันกับอาณาจักรขอมโบราณหลายภพชาติ ชาติหนึ่งท่านเป็นถึง ข้าราชการที่รับผิดชอบการสร้างราชมรรคาจากปราสาทหินนครวัด ผ่านไปถึงปราสาทหินพิมาย เส้นทางที่เคยงดงามรุ่งเรืองมีปราสาทหินน้อยใหญ่มากมาย มีบาราย (อ่างเก็บน้ำ) และ อโรคยาสาท (โรงพยาบาล) ในชาตินี้ เมื่อได้ธุดงค์ไปดูผลงานในอดีต ที่เหลือเพียงซากก็สลดใจ ความยิ่งใหญ่แห่งราชอาณาจักรขอมโบราณ เหลือเพียงซากปราสาทหินที่เสื่อมสลายไปตามกฎของไตรลักษณ์
สิ่งที่เหลืออยู่ในตัวของท่าน คือ "กุศล" อันเกิดจากจิตที่อนุโมทนากับเจ้าเหนือหัว สมเด็จพระเจ้าชัยวรมันที่เจ็ดที่มุ่งสร้างอโรคยาสาท (โรงพยาบาล) และ บาราย (อ่างเก็บน้ำ) ไว้ทั่วแว่นแคว้น เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขของอาณาประชาราษฎร์และท่านหลวงพ่อในอดีตชาตินั้นได้ตอบสนองพระบรมราชโองการ ทุ่มเทฝีมือแรงกายแรงใจ บรรจงสร้างทำในส่วนที่ท่านรับผิดชอบอย่างดียิ่ง
ลุงแดงตอบขึ้นบ้าง ส่วนกระผมก็เป็นถึงพญาบาแดงคนส่งสารใหญ่ มีบริวารมากมาย แต่ชาติปัจจุบัน กลายเป็นคนหาเช้ากินค่ำ อดๆ อยากๆ ลำบากยากเข็ญมากว่าครึ่งชีวิต ทรัพย์สมบัติมากมายในอดีตไม่อาจนำข้ามภพข้ามชาติมาจุนเจือชีวิตได้เลย ปัจจุบันหากไม่พบหลวงพ่อชี้แนะก็คงไม่รู้อะไร
หลวงพ่อกล่าวต่อไปแปลได้ว่า ขุดลงไปดูสิ ในกรุนั่นมีอะไร
ลุงแดงขุดต่อลงไป และพบว่า ทรัพย์สมบัติที่เป็นเครื่องทองหนึ่งหีบไม่ได้มีอยู่ดังความทรงจำชาติเก่า ขุดเท่าไรก็เจอแต่กองอิฐ นอกเหนือจากนั้น เขาพบไหพระเครื่องเนื้อดินใส่พระกรุศรีเทพอีกห้าไห
หลวงพ่อกล่าวต่อไป เครื่องทองหายไปหมดแล้ว หายไปตั้งแต่ สมัยกรุงศรีอยุธยา หลังอาณาจักรเขมรเสื่อมอำนาจ เมืองอภัยสาลีถูกทิ้งร้างจนถึงสมัยอยุธยา มีการฟื้นฟูเมืองอภัยสาลีขึ้นมาอีกครั้ง มีผู้เรืองวิทยาอาคมเปิดกรุนี้ได้โดยเอาชนะบรรดาวิญญาณข้าทาสบริวารที่เฝ้าปกปักรักษา เมื่อสมบัติถูกพบขึ้นมา กลิ่นคาวเลือดและความตายก็ได้คละคลุ้ง ณ ที่ดินแห่งนี้ เนื่องจากมีการฆ่าปิดปาก และฆ่ากันตายโดยการแบ่งผลประโยชน์ไม่ลงตัว สุดท้ายทรัพย์สินอันมีค่าต่างๆ ก็กระจัดกระจายไป วิญญาณบางดวงยึดติดหวงแหน ติดตามสมบัติบางชิ้น เพราะถูกฆ่าตายในขณะที่กอดสมบัติชิ้นนั้นไว้แน่น
ลุงแดงกล่าวแทรกขึ้น "เหมือนที่กระผมยึดติดความสำเร็จในการย้าย เมืองพระบาแดง ยุคแผ่นดินงอกลงทะเล และไปเกิดที่นั่น ย่านนั้น"
หลวงพ่อเล่าต่อไปว่า ได้พบโถทองคำใบที่เมื่อครั้งหนึ่งพันปีที่แล้วที่เคยอยู่ในกรุนี้ที่พม่า โถทองคำที่มีวิญญาณเกาะติดสร้างอาถรรพ์แก่ผู้ครอบครอง หลวงพ่อได้กล่อมเกลาวิญญาณหลงผิดให้ลดทิฏฐิยอมไปผุดไปเกิด โถทองใบนั้นเป็นสมบัติของวัด แต่สุดท้ายถูกขโมยออกไปขายในตลาดมืด จนสุดท้ายถูกประมูลซื้อไปอยู่ที่เมืองฝรั่งแล้ว
จากราชอาณาจักรขอมมาอยู่ที่กรุนี้ จากนั้นถูกย้ายไปอยุธยา เมื่ออยุธยาสิ้น ทรัพย์สมบัติก็ถูกนำไปที่พม่า บางส่วนถูกหลอมบางส่วนตกทอดไปเปลี่ยนมือ ไกลสุดไปถึงเมืองฝรั่งแดนไกลอยู่ในพิพิธภัณฑ์อย่างที่เล่า
ไม่มีอะไรยั่งยืนจีรัง ในโลกที่เปลี่ยนแปลงนี้ ไม่มีอะไรนำติดตัวข้ามภพชาติไปได้ เว้นแต่ความดีที่เคยสร้างทำอย่างตั้งใจเท่านั้น
สิ้นคำว่า ความดีที่เคยสร้างทำอย่างตั้งใจ
ในอีกมิติหนึ่งนั้น วิญญาณคนโบราณที่รายล้อมฟังหลวงพ่อเล่าเรื่องมาตลอด กลับคลายทิฏฐิมานะ น้อมใจรำลึกถึงกรรมเก่าที่เคยเหนื่อยยากทำงานสร้างอโรคยาสาท และ ขุดบาราย สร้างสะพาน ตามราชบัญชาแห่งองค์สมเด็จเหนือหัวชัยวรมันที่เจ็ด ในยุคที่ไม่มีเครื่องจักรกลผ่อนแรงซึ่งลำบากกว่าในปัจจุบันมากมายนัก กลายรูปทิพย์จากภูติผีปีศาจที่น่ากลัว เป็นเทวดานางฟ้าที่มีอาภรณ์อันงดงาม เพราะความยึดมั่นถือมั่นทำให้พวกเขาเฝ้าสถานที่แห่งนี้มานับพันปี
"แล้วพระดินห้าไหนี้หละครับ ทำไมยังอยู่ไม่มีใครเอาไป" ลุงแดงถามพลางมอง
ลุงแดงมองพระห้าไห รวมที่แกพบก่อนหน้า แกมีพระล้ำค่าถึงหกไห พระเครื่องที่เมื่อชาติเก่าก่อน ตนวางแผนจะนำไปบรรจุกรุเพื่อสืบพระศานาตามค่านิยมในยุคนั้น
หลวงพ่อเล่าต่อไป ค่านิยมสมัยโบราณของชาวอยุธยา ถือว่า พระเครื่องเป็นของสูงยิ่งไม่บังควรที่จะอัญเชิญไว้ในเคหะสถานของฆราวาสผู้ครองเรือนอยู่อาศัย อันมีกิจกรรมกามสังวาสอยู่เนืองนิจจึงไม่มีใครสนใจ แม้พระที่สร้างแจกทหารในสมัยอยุธยา พออาราธนาติดตัวไปรบกลับมา เสร็จสิ้นศึกงานราชการสงคราม ก็นำมารวมๆ กันไว้ที่วัดไม่นำเข้าบ้าน
ผิดแผกแตกต่างกับค่านิยมสมัยใหม่ ที่ยึดถือรูปพระพุทธบนก้อนดินเหล่านี้ เป็นของศักดิ์สิทธิ์ล้ำค่ามีราคาเรือนแสน ที่มีน้อยเช่าหากันถึงหลักล้าน นำมาห้อยคอโดยคิดว่าเป็นมงคลแก่ชีวิต โดยลืมนึกถึง ศีลธรรม การกระทำแท้ที่จริง พระเครื่องเหล่านี้เป็นเพียงพุทธานุสติ เครื่องเตือนให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้าผู้ทรงคุณอันประเสริฐ ชี้ทางออกจากวัฎสงสารที่ไม่รู้จบสิ้น
ที่ดิน ทรัพย์สมบัติต่างๆ ล้วนเป็นของที่ไม่เคยเป็นของใครจริงจัง แม้ร่างกายนั้นก็ไม่ใช่ของของเรา เพียงแต่เรายืมมาใช้สร้างความดีเท่านั้น
...............................
พระเครื่องสกุลช่างศรีเทพที่มีสภาพสมบูรณ์สวยงาม เข้าสู่ตลาดในวงการ ปีละประมาณเก้าถึงสิบองค์ จากแหล่งที่ไม่ทราบที่มา แต่เซียนพระที่ไหน ดูก็รู้ว่า เป็นพระแท้แน่นอน
...............
ชายวัยห้าสิบเศษ ในชุดเสื้อปะขาดมอซอ ยังคงสนุกสนานและมีความสุขกับการทำบุญตามใจคิด แต่กลับไม่ชอบเปิดเผยตัวให้ใครทราบ เขาทราบว่าทรัพย์สินมีค่าไม่สามารถนำติดตัวไปภพชาติหน้าได้เลย เขาเคยผิดพลาดมาแล้วเมื่อภพชาติเก่า และจะไม่ยอมผิดพลาดอีกเป็นอันขาดในภพชาตินี้
..............
คงเป็นกรรมเก่าของลุงบาแดง มีคนในสนามพระคนหนึ่ง สงสัยถึงพระเครื่องของแกจึงสะกดรอยตาม จนรู้แน่ชัดว่าแกอยู่ที่ไหนและเฝ้าลงมือชิงทรัพย์อยู่ จนในที่สุดก็ได้โอกาสลงมือ ขณะที่ลุงทำสวนอยู่คนเดียว ลุงบาแดงถูกทำร้ายบาดเจ็บนอนโรงพยาบาลอยู่หลายวัน เมื่ออาการดีขึ้นจึงกลับบ้าน พบว่าทรัพย์สินตลอดจนพระเครื่องของแก ถูกมันเอาไปสิ้น
ลุงบาแดงกลับปลงตก เนื่องด้วยความทรงจำในชาติเก่าเมื่อครั้งเป็นพญาบาแดง เคยสั่งเฆี่ยนลูกน้องคนหนึ่งบาดเจ็บหลายวัน เท่ากับที่แกบาดเจ็บในครั้งนี้ และยึดทรัพย์ของลูกน้องคนนั้น ตลอดจนพรากเมียของมันมากระทำชำเราจนตายอย่างทรมานโดยปราศจากความผิด แกคิดว่ายังโชคดีที่มีชีวิตรอดมาได้ แกเลิกกร่นด่าเทวดาฟ้าดิน เพราะรู้ว่ามันเป็นกรรมเก่าของแกเอง ใครก็ช่วยไม่ได้ แกไม่คิดโทษใคร เพราะเข้าใจว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับแกเป็นสิ่งที่กฎแห่งกรรมตอบแทนแกอย่างสาสมแล้ว ไม่มากเกินไม่น้อยเกิน
เมียแกที่ตายไปเมื่อหลายปีก่อน ในอดีตชาติก็คือ ลูกน้องคนสนิทที่ก่อเวรร่วมกันมา ที่ต้องมาเกิดเป็นหญิงรับกรรมที่ตนเองได้ก่อขึ้นในครั้งกระนั้นอย่างเท่าเทียมกัน
ชายวัยห้าสิบเศษในชุดนุ่งขาวห่มขาว อาศัยวัดอยู่อย่างสงบ พากเพียรปฏิบัติธรรม หมายใจให้ ได้เข้าใกล้ทางพ้นทุกข์ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ด้วยเวลาที่เหลือน้อยลงเรื่อยๆ ในภพชาตินี้ ด้วยรู้แล้วว่า การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้ คือ ความทุกข์ล้วนๆ หาความสุขแท้จริงมิได้เลย

  
จาก เวปไซท์ธรรมะใกล้ตัว
เครดิต : Dong

28 สิงหาคม 2555

ชายเก็บขยะผู้ร่ำรวย


พลอยใจใส
     เสียงนาฬิกาปลุกดังกังวานไปทั่วห้อง ณภัทรงัวเงียลุกขึ้นจากเตียงด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้าเพื่อจัดการกับเสียงต้นเหตุนั้น แสงแดดอ่อนๆสาดทอลอดเข้ามาทางหน้าต่าง เสียงด้านนอกเริ่มจอแจ บ่งบอกถึงการเริ่มต้นต่อสู้ชีวิตของผู้คนชาวกรุง ชายหนุ่มมองเงาของตนเองในกระจก เขาเพิ่งตื่นนอนแต่ว่าขอบตานั้นมีรอยเขียวคล้ำเพราะกรำงานอยู่จนดึก ความเหนื่อยล้าทางด้านร่างกายนั้นหากได้มีเวลาพักอีกสักนิดก็คงหาย แต่ว่าความเหนื่อยใจของเขานั้นเปรียบเสมือนภาระอันหนักอึ้งที่เขารู้สึกว่าต้องแบกรับไว้ทั้งเวลานอนและเวลาตื่น ภาระหน้าที่การงานอันมากมายนั้นไม่เท่าไหร่ แต่เขากลับมีปัญหากับเพื่อนร่วมงานที่ต้องปะทะคารมกันแทบทุกวัน

     ณภัทรบิดกายขับไล่ความขี้เกียจออกไป คว้าผ้าเช็ดตัวมุ่งตรงไปยังห้องน้ำ อย่างน้อยการได้อาบน้ำอุ่นๆสบายๆ อาจทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายก่อนออกไปทำงานในเช้าวันนี้ แกร๊ก..แกร๊ก.. ดูเหมือนเจ้าเครื่องทำน้ำอุ่นตัวดีจะไม่ค่อยเป็นใจกับเขาสักเท่าไหร่ มันหยุดทำงานไปซะเฉยๆ ชายหนุ่มพยายามใช้ความอดทนกับมันอยู่เป็นเวลานานแต่ก็ไม่เป็นผล เขาจึงต้องทนอาบน้ำเย็นในเช้าวันนี้ ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาโอเปอเรเตอร์ของอพาร์ทเมนท์ด้วยหวังจะได้รับความช่วยเหลือ

     “ฮัลโหลผมโทรจากห้อง 
506 ครับเครื่องทำน้ำอุ่นห้องผมเสีย ช่วยส่งช่างมาดูหน่อยได้ไหมครับ” แต่ดูเหมือนปลายสายจะไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับเขาสักเท่าไหร่ 
     “เสียอีกแล้วเหรอ นี่คุณใช้ยังไงเนี่ยใช้เป็นหรือเปล่า เดือนนี้เสียกี่ครั้งแล้วเนี่ย” ชายหนุ่มพยายามสะกดกลั้นความโกรธไว้เต็มที่

    “ตั้งแต่ผมมาอยู่ก็เพิ่งเสียเป็นครั้งแรกเนี่ยแหละครับ ถ้ายังไงรบกวนส่งช่างมาดูด้วยนะครับ พอดีผมต้องออกไปทำงานแล้ว”

     ณภัทรรีบวางสายอย่างรวดเร็วด้วยเกรงว่าต่อมความโกรธจะระเบิดออกมาเสียก่อน มันคงไม่มีอะไรเลวร้ายไปซะทุกอย่างหรอกน่า ชายหนุ่มบอกกับตัวเอง ขณะออกจากลิฟท์เดินผ่านโอเปอเรเตอร์ของอพาร์ทเมนท์ ก็อดชำเลืองดูอย่างขุ่นเคืองไม่ได้

“ก็แน่ล่ะอ้วนเป็นตุ่ม หน้าก็เละเป็นศพ พูดจาก็ไม่เข้าหูอย่างนี้ จ้างให้ก็ไม่มีใครเอาหรอก” แสยะยิ้มอย่างดีใจที่ได้พึมพำกับตัวเอง 
ในชั่วโมงเร่งรีบอย่างนี้ณภัทรอดชำเลืองดูนาฬิกาเป็นพักๆไม่ได้ ด้วยเกรงจะไปทำงานสาย แต่การจราจรที่เป็นอัมพาตอย่างนี้เขาคงทำอะไรไปไม่ได้มากกว่าการรอเท่านั้น มือกุมพวงมาลัย เตรียมพร้อมรอสัญญาณไฟ ชายหนุ่มมองออกไปข้างถนนเห็นเด็กขายพวงมาลัยหน้าตามอมแมมตะโกนโหวกเหวกเรียกร้องความสนใจ ถัดออกไปอีกนิดตรงริมฟุตบาท ชายแก่อายุประมาณหกสิบกว่า กำลังตั้งหน้าตั้งตาคุ้ยกองขยะอย่างตั้งอกตั้งใจ ณภัทรเห็นแล้วก็รู้สึกสงสารแกมสมเพช งานเก็บขยะขายช่างเป็นงานที่ต่ำต้อยเสียเหลือเกินในสายตาเขา ทั้งเหม็นทั้งสกปรกเงินที่ได้จากการขายขยะเหล่านั้นจะได้ซักกี่สตางค์กันเชียว เทียบกับงานที่เขาทำไม่ได้เลย งานที่สบายใช้สมองอยู่ในห้องแอร์ ถึงแม้ว่าบางครั้งจะต้องชิงไหวชิงพริบกันกับเพื่อนร่วมงานบ้างก็ตามเถอะ

     ขณะที่ชายหนุ่มกำลังเพลิดเพลินกับความคิดของตัวเองอยู่นั้น “ปัง” เสียงดังมาจากทางด้านท้ายของรถ ชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัว รีบก้าวลงจากรถเพื่อสำรวจความเสียหาย รถญี่ปุ่นกึ่งเก่ากึ่งใหม่ของเขาตอนนี้ ท้ายยุบไฟท้ายแตกกระจาย ณภัทรรีบมองหาคู่กรณีใบหน้าเขาร้อนผ่าวมือสั่นระริก เจ้าของรถยุโรปค่อนข้างใหม่คันนั้นก้าวออกมาจากรถอย่างรวดเร็วเช่นกัน ใบหน้าซีดเผือดเมื่อมองเห็นคู่กรณีอีกฝ่ายจับจ้องราวจะฉีกเนื้อเขากิน

“ขอโทษครับ ขอโทษ ผมรีบจริงๆครับก็เลยไม่ทันระวัง” พูดพลางยกมือขึ้นไหว้ปะหลกๆ

“นี่นามบัตรของผมครับ ถ้ายังไงให้ทางประกันโทรมาเบอร์นี้ได้เลยนะครับ แต่ว่าตอนนี้ผมต้องขอตัวก่อน เพราะถ้าชักช้ากว่านี้จะไม่ทันการ” พูดจบชายหนุ่มวัยกลางคนนั้นก็รีบบึ่งรถจากไป ทิ้งให้ณภัทรมองตามอ้าปากหวอกึ่งงงกึ่งตกใจทำอะไรไม่ถูก

     ใช้เวลาร่วมชั่วโมงกว่าทางประกันภัยจะมาจัดการถ่ายรูปเซ็นเอกสาร และลากรถของเขาไปไว้ที่อู่ ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งอาทิตย์ถึงจะซ่อมเสร็จ กว่าณภัทรจะมาถึงที่ทำงานก็ปาเข้าไปเกือบสิบโมง แน่นอนที่เจ้านายของเขาต้องตาเขียว และเรียกเขาเข้าไปพบเป็นการส่วนตัวอย่างไม่ต้องสงสัย

“งานสัมมนาที่เชียงใหม่ ผมให้คุณปกรณ์ไป เป็นตัวแทนของบริษัทเราแทนคุณแล้วนะ” เหมือนฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ

“ครับ” คงไม่มีคำพูดใดแทนความรู้สึกของเขาได้ในตอนนี้

     นายปกรณ์คู่ปรับประจำออฟฟิศของเขา ได้เป็นตัวแทนบริษัทไปสัมมนาแทนเขา ทั้งๆที่เขาเตรียมตัวล่วงหน้าเกือบเดือนเพื่องานนี้ ตะกอนในใจของชายหนุ่มคละคลุ้งขุ่นมัวไปหมด เขารู้สึกว่าวันนี้เป็นวันมหาโลกาวินาศโดยแท้ เวลาทำงานแต่ละวินาทีกว่าจะผ่านไปมันช่างยากเย็นเหลือเกิน ในใจของเขารู้สึกหดหู่หนักอึ้งเหมือนมีคนเอาภูเขาหินทั้งลูกมาถ่วงไว้ ชายหนุ่มเอนตัวลงบนเก้าอี้อย่างช้าๆ หลับตาลงด้วยความรู้สึกหนักอึ้งเหนื่อยหน่าย


    หลังจากทนเบียดเสียดยัดเยียดกับผู้คนบนรถโดยสารประจำทางร่วมชั่วโมง ณภัทรก็มาถึงจุดหมาย เขาต้องเดินเท้าต่อประมาณห้าร้อยเมตรกว่าจะถึงอพาร์ทเมนท์ เวลาโพล้เพล้อย่างนี้ยังมีผู้คนพลุกพล่านอยู่ไม่น้อย ชายหนุ่มเดินทอดน่องอย่างช้าๆ ปล่อยให้ความคิดล่องลอยออกไป เช้านี้เครื่องทำน้ำอุ่นเสีย ต้องปะทะคารมกับยัยโอเปอเรเตอร์หน้าบูด ไม่รู้ตอนนี้จะส่งช่างไปซ่อมให้หรือยัง ไหนจะรถชนทำให้ไปทำงานสาย ไหนจะเรื่องงานที่คู่ปรับชิงตัดหน้าเขาไปก่อน พอคิดมาถึงตอนนี้ชายหนุ่มรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาอีกครั้งน้ำตาพาลจะไหลซะให้ได้

“ซวยจริงๆ” เขาสบถเบาๆ พลางแวะซื้อน้ำอัดลมจากร้านขายของชำข้างทาง

    ชายหนุ่มจิบน้ำไปเรื่อยๆ อีกกว่าสามร้อยเมตรกว่าจะถึงอพาร์ทเมนท์ของเขา พลันก็ได้กลิ่นตุๆลอยมาปะทะจมูก สายตาก็เหลือบไปเห็นต้นเหตุของกลิ่นนั้น ชายชรากำลังเก็บและคัดแยกขยะจากกองขยะขนาดย่อมอยู่ทางด้านหน้า “เป็นตาแก่คนเดียวกับที่เห็นเมื่อเช้านี่นา” เขาคิดในใจ พลางกระหยิ่มยิ้มย่องเดินเข้าไปทางด้านหลังของชายแก่คนนั้นอย่างอารมณ์ดี อาจมีอะไรสนุกแก้เครียดหากได้แกล้งชายแก่คนนี้

   “ลุง” ณภัทรเรียกชายแก่เสียงดังเกือบจะกลายเป็นตะโกน ผิดคาดชายแก่ไม่ได้มีอาการตกใจอย่างที่เขาคิด สายตาคู่นั้นกลับหันมามองเขาอย่างเป็นมิตร

“มีอะไรเหรอพ่อหนุ่ม” ชายหนุ่มหน้าเจื่อนนิดหน่อย พลางยื่นกระป๋องน้ำอัดลมที่อยู่ในมือให้กับชายแก่คนนั้น

“เอ่อ ไม่มีอะไรครับผมแค่คิดว่าจะเอากระป๋องให้ลุงเท่านั้น”

“เออ ขอบใจนะ”

“ลุงเก็บขยะขายอย่างนี้นานแล้วเหรอ”  เพราะใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้น ทำให้เขาอยากสนทนากับชายแก่คนนี้ต่อ

“ก็นานแล้วล่ะ คนแก่อย่างลุงไม่มีวิชาความรู้ก็ไม่รู้จะไปทำมาหากินอะไรน่ะ”

“แล้วลุงไม่มีลูกเหรอ” ชายชราละมือจากการค้นกองขยะนั้นขยับห่างออกมานิดหน่อยด้วยเห็นว่าชายหนุ่มเบื้องหน้าคงจะทนกับกลิ่นนั้นได้ไม่นาน

“โอย เขาก็แต่งงานมีครอบครัวแยกย้ายกันไปหมดแล้วล่ะ”

“แล้วลุงได้รายได้ต่อวันประมาณเท่าไหร่”  ณภัทรต่อบทสนทนาด้วยเห็นว่าชายแก่นั้นน่าสงสาร

“ไม่แน่หรอกพ่อหนุ่ม บางวันก็ได้มาก บางวันก็ได้น้อย แล้วแต่ว่าวันไหนจะมีคนทิ้งของมีค่าไว้เยอะมั้ยน่ะ”

“ของมีค่า....ขยะน่ะเหรอครับที่เป็นของมีค่า” ชายหนุ่มทำหน้างุนงงนิดหน่อย

“คนเดี๋ยวนี้ไม่รู้เป็นไรชอบทิ้งของมีค่า เก็บไว้แต่ของที่ใช้ประโยชน์ไม่ได้น่ะ รกเปล่าๆ” ชายแก่แสยะยิ้มเล็กน้อย แต่ว่าชายหนุ่มเบื้องหน้ากลับทำหน้ายุ่ง ไม่เข้าใจความหมายของชายแก่นั้น

“ถึงลุงจะยากจนเก็บขยะขายแต่ลุงก็รู้ว่าอะไรเป็นของมีค่าที่ต้องเก็บไว้ อะไรที่ไม่มีประโยชน์ต้องทิ้งไป ลุงเห็นมาเยอะละคนเราชอบเก็บเรื่องไม่เป็นเรื่องมาคิดให้รกสมองเปล่าๆ และมักจะหลงลืมอะไรที่ดีดีในตัวเองไปน่ะ ถึงจะเก็บขยะขายแต่ว่าลุงก็มีความสุขดีนะ ของบางอย่างถ้าเรามองมันให้ดีดีก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดหรอก”

    อาจเป็นเพียงแค่คำพูดเลื่อนลอยของชายแก่คนหนึ่ง แต่มันกลับเปิดปมบางอย่างในใจของชายหนุ่มที่ติดค้างมานาน ชายหนุ่มเดินจากมาทั้งๆที่ใจก็ยังครุ่นคิดกับคำพูดของคนเก็บขยะนั้น เรื่องบางเรื่องของบางอย่างก็เป็นเรื่องไร้สาระไม่มีประโยชน์ เราจะเก็บมาคิดทำไมให้รกสมองเปล่าๆนะ พลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกโล่ง เบาสบายอย่างบอกไม่ถูก

“คุณคะ” ชายหนุ่มชะงักฝีเท้าก่อนถึงลิฟท์

“คุณอยู่ห้อง 
506 ใช่มั้ยคะ” ชายหนุ่มพยักหน้าแทนคำตอบ

“เครื่องทำน้ำอุ่นของคุณช่างไปซ่อมแล้วนะคะ” ณภัทรมองตามโอเปอเรเตอร์ร่างตุ้ยนุ้ยนั้นไปอย่างไม่เชื่อสายตา บางครั้งตอนเช้าเธอคงงานยุ่งก็เลยพูดไม่ค่อยเข้าหูซักเท่าไหร่ ชายหนุ่มแอบอมยิ้มให้กับความคิดที่เปลี่ยนไปของตัวเอง


    ตอนเช้าณภัทรต้องโหนรถเมล์ไปทำงานกว่าจะถึงที่ทำงานก็เกือบแปดโมงแล้ว วันนี้เขารู้สึกว่าที่ทำงานดูแปลกตาอย่างบอกไม่ถูก ปัญหาต่างๆที่ค้างคาใจถูกปลดระวางไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว รู้สึกโล่ง เบาสบาย อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พอเจอหน้านายปกรณ์คู่ปรับ ความคิดเก่าๆก็ประดังเข้ามาอีก แต่ว่าเขาก็ตั้งสติรับได้ทัน เรื่องมันก็ผ่านมาแล้วอย่าเก็บมาคิดให้รกสมองเลย ชายหนุ่มบอกกับตัวเองอย่างนั้น พลางเอ่ยทักทายเพื่อนร่วมงาน จนทุกคนต่างแปลกใจไปตามๆกัน ไม่รู้ว่าวันนี้นายณภัทรไปกินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่า ถึงได้อารมณ์ดีเป็นพิเศษนะ คิดให้ดีๆแล้ว โดยปกติแล้วนายปกรณ์ก็ไม่เคยคิดร้ายกับเขาเลย ที่ถกเถียงกันก็เป็นเพียงเพราะเรื่องงานที่มีความเห็นไม่ค่อยลงรอยกันเท่านั้น สายหน่อยณภัทรก็ได้รับสายจากเบอร์โทรที่ไม่คุ้นเคย

“สวัสดีครับจำผมได้มั้ยครับ” ชายหนุ่มค่อนข้างแปลกใจด้วยไม่คุ้นกับเสียงปลายสายซักเท่าไหร่

“ที่ผมขับรถชนรถคุณเมื่อวานไงครับ ผมอยากโทรมาขอโทษพอดีเมื่อวาน ผมรีบมาก เมียผมเจ็บท้องจะคลอดลูก ผมก็เลยขับรถไม่ระวัง” ชายหนุ่มฟังแล้วก็โล่งอก นึกดีใจที่เมื่อวานไม่ได้ตะบันหน้าคู่กรณีไปเสียก่อน หลังจากสนทนากันได้นิดหน่อยปลายสายก็ต้องรีบวาง ด้วยเพราะเจ้าตัวน้อยที่อยู่ข้างๆส่งเสียงดัง 
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ณภัทรต้องโหนรถเมล์กลับบ้าน หากแต่ว่าวันนี้เขากลับรู้สึกแตกต่างออกไปจากทุกวัน บางสิ่งบางอย่างอาจไม่เลวร้ายอย่างที่คิด ขึ้นอยู่กับมุมมองของเราต่างหาก ทุกสิ่งล้วนมีข้อดีและข้อเสีย หากเรารู้จักที่จะมองมันในแง่ของความเป็นจริง โดยปราศจากอคติ เราก็สามารถที่จะมีความสุขได้ไม่ยาก เขารู้สึกว่าภาระในใจที่เขาทนแบกไว้นานหลายปีได้ถูกปลดปล่อยออกไป ถึงแม้จะไม่หมดในคราวเดียว แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

    เขาเดินมาบนถนนสายเดิม ชายแก่คนนั้นก็ยังคงก้มหน้าก้มตาเก็บขยะเหมือนเดิม หากแต่ว่าวันนี้สายตาที่เขามองชายแก่นั้นกลับเปลี่ยนไป ชายแก่คนนั้นเขาไม่ได้ยากจนเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าเขาต้องเก็บขยะขายมีรายได้ต่อวันไม่กี่ร้อยบาท แต่หากชายแก่ผู้นั้นกลับร่ำรวยไปด้วยความสุข และแง่คิดดีดี ที่วันนี้ได้เปลี่ยนแปลงเขาไปในทางที่ดีด้วยเช่นกัน

จาก เวปไซท์ ธรรมะใกล้ตัว
เครดิต : Dong

27 สิงหาคม 2555

รถเข็นคันนั้น


ธีระวัฒน์ อนันตวรสกุล

     สามัญดูรายงานข่าวในช่วงเย็นอย่างสะใจ รายการข่าวเป็นสกู๊ปพิเศษ แฉพฤติกรรมการเอารัดเอาเปรียบของผู้ที่ทำธุรกิจจัดสังฆทานสำเร็จรูปขาย โดยทางรายการซื้อถังสังฆทานมาแยกสิ่งของที่อยู่ภายในให้เห็นทั้งถ่านไฟฉายหมดอายุ ข้าวสาร ใบชา และยาด้อยคุณภาพ จำนวนก็น้อยทั้งที่ในกล่องกระดาษพิมพ์ไว้ว่าบรรจุยาหลายชนิด ข้าวสารคุณภาพต่ำที่สุดเท่าที่ผู้สื่อข่าวเคยเห็นจำนวน 
ช้อนชา อยู่ในถุงพลาสติกแบบซิป แต่อยู่ในกล่องพิมพ์สีสวยว่า ข้าวสารคุณภาพเยี่ยม บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบซองที่ซองแตก จนดูดกลิ่นผงซักฟอกจากซองที่แตกเช่นกัน เอาไว้ในเนื้อบะหมี่ สรุปแล้วของจากในถังบางถังใช้ได้ไม่ถึงครึ่ง ท้ายรายการสรุปว่า ถ้าอยากให้พระสงฆ์ได้ประโยชน์สูงสุด ผู้ถวายน่าจะเลือกการจัดสังฆทานเอง
     สามัญสะใจเพราะเขาเป็นผู้ที่จัดทำฟอร์เวิร์ดเมล์เป็นภาพนิ่งชุด 
ชำแหละถังสังฆทานสำเร็จรูป โปรดอ่านก่อนถวายสังฆทานครั้งต่อไป ความสำเร็จในครั้งนี้ ทำให้เขาเกิดความมั่นใจที่จะแฉพฤติกรรมชั่วของคนที่หากินกับศาสนา เขาตั้งใจจองเวรกับพวกหากินกับศาสนาอย่างน่ารังเกียจ เพื่อตีแผ่ความเลวร้ายที่แอบซ่อน ตามความคิดที่ว่า อย่าปล่อยให้พวกหากินกับศาสนาลอยนวล

     สามัญเป็นนักสืบเอกชนที่เจนจัด รับจ้างสืบคดีชู้สาวเป็นหลัก ตามที่มีผู้ได้รับมอบหมาย มีรายได้ดีมาก เนื่องจากศีลธรรมที่ต่ำทรามในสังคม ทำให้คดีทางชู้สาวมีมากจนไม่น่าเชื่อ ในวันว่างเขามักจะใช้ความสามารถช่วยตีแผ่ความชั่วช้าของผู้ที่หากินกับศาสนาอยู่เสมอ เขาเคยตีแผ่พฤติกรรมของคนที่ทำธุรกิจเดินสายค้นหาพระชราที่อยู่ตามถิ่นห่างไกล และมีวัตรปฏิบัติน่าเลื่อมใส แล้วใช้อำนาจการตลาดโหมโฆษณาไม่หยุดหย่อน ทำให้ท่านเด่นดัง จนสามารถสร้างพระเครื่องของท่านออกให้เช่าบูชามาแล้ว แม้วัดจะได้เงิน แต่คนที่ร่ำรวยกว่ากลับกลายเป็นคนที่สร้างพระ ตั้งแต่นั้นมาเขาปวารณาตัวอุทิศเวลาว่าง ในการตีแผ่ แฉเรื่องราวการหากินกับศาสนาเสมอมา

    สามัญเช่าหอพักอยู่ติดกับวัดใหญ่แห่งหนึ่งในกรุงเทพ ไม่ไกลจากสถานีรถไฟ จากระเบียงหลังห้องของเขา สามารถมองเข้าไปในวัดได้ชัดเจน สามัญมักจะมองเข้าไปในวัดเสมอๆ และสองครั้งแล้วที่เขาเห็น ตาแก่ซอมซ่อคนหนึ่งขนน้ำขวดจำนวนมากจากในวัดออกไปนอกวัด ดูก็รู้ว่าเป็นน้ำขวดที่พระในวัดนั้นรับบิณฑบาตมา ซึ่งคงมีจำนวนมากกว่าที่จะฉันหมด คนเข็นรถเข็นเขาเอาไปทำอะไรหนอ มันเป็นของวัดที่สาธุชนถวายแด่พระสงฆ์นะ สามัญเริ่มคิดในทางไม่ดี

     วันหนึ่งสามัญเห็นพฤติกรรมการขนน้ำเช่นนั้นอีก และเป็นจังหวะเดียวกับเพื่อนข้างห้องที่พอมองเห็นกันได้จากระเบียงออกมาตากผ้าพอดี เพื่อนข้างห้องมองเห็นภาพนั้น และพูดออกมาในขณะที่นุ่งผ้าเช็ดตัว คาบบุหรี่อยู่ในปาก คลี่ผ้าออกตากบนราวลวดว่า
คงขนไปขายนะ พวกคนจนพวกนี้ นอกจากขอข้าววัดไปกินไม่พอ ยังขอไปขาย มันถึงจนดักดานทำมาหากินไม่ขึ้น ต้องหากินกับวัดอยู่ร่ำไป
    เมื่อถูกคำพูดนี้ชี้นำเข้า ความคิดของสามัญก็ยิ่งเป็นไปในทางที่ไม่ดีกับตาแก่ซอมซ่อคนนั้น และรู้สึกว่าพฤติกรรมหากินกับน้ำขวดของวัดเหล่านี้สมควรถูกเปิดโปง ทำไมพวกหากินกับศาสนาจึงมากมายนักนะ สามัญคิด วันหนึ่งเป็นวันว่าง สามัญจึงเกาะติดการขนน้ำขวดออกจากวัดแต่เช้า และวันนี้สามัญตัดสินใจแล้วว่า จะแฉพฤติกรรมของคนที่ขอของวัดไปขาย สร้างฟอร์เวิร์ดเมล์เพื่อเผยแพร่ในอินเตอร์เน็ตอีกสักครั้ง

     วันนั้นตาแก่ขนน้ำออกไปจากวัดมากกว่าทุกวัน เทียบกับที่เคยเห็นมาก่อนหน้านี้ ที่ตาแก่หิ้วไปเพียง 
20-30ขวด แต่วันนี้น่าจะไม่ต่ำกว่า 100 วด แกใส่น้ำขวดลงถุง และใส่น้ำที่บรรจุแก้วพลาสติกลงลังโปร่งๆ แล้วขนออกจากวัดไป สามัญติดตามรถเข็นน้ำไปห่างๆ ตาแก่ขนน้ำโดยที่ไม่รู้เลยว่ากำลังถูกเกาะติดถึงพฤติกรรมของตน

    จุดแรกที่ตาแก่ไปคือ โรงรับซื้อของเก่า ตาแก่หยุดรถเพื่อเอาถุงใส่กระป๋องเครื่องดื่มอลูมิเนียมที่เหยียบจนแบนถุงหนึ่ง และขวดพลาสติกทั้งใสทั้งขุ่นออกไปชั่งกิโลขาย สามัญที่แฝงตัวเข้าใกล้เป้าหมายแอบมานั่งกินขนมหวานอยู่ที่ร้านขนมและขายของชำที่ติดกับร้านของเก่า นึกทึ่งตาแก่ในใจประการหนึ่งว่า ตาแก่สามารถเก็บขวดจำนวนมากในถุงใบไม่ใหญ่ โดยการ ผ่าขวดพลาสติกตามยาวออกเป็นสองซีก ซึ่งจะทำให้ซ้อนกันได้ในการเก็บเพื่อประหยัดพื้นที่

    ตาแก่รับเงินจากร้านรับซื้อของเก่าประมาณร้อยกว่าบาท และเดินมาที่ร้านขายของชำที่สามัญนั่งกินขนมอยู่นั้นเอง เป้าหมายของเขาใกล้เข้ามาและเดินผ่านเขาไป สามัญคิดว่าตัวเองคงจะได้ ภาพเด็ดๆ ที่ตาแก่ขายน้ำให้ร้านขายของชำ แต่ผิดคาด ตาแก่แวะซื้อน้ำยาล้างจานขวดใหญ่จากร้านของชำนั้นมา 
ขวด พร้อมฟองน้ำล้างจาน ชุด ถุงพลาสติกชนิดหิ้ว ห่อ หลอดกาแฟพลาสติกอย่างใสชนิดยาว 1 ห่อ แล้วเดินออกจากร้านไป สามัญคิดว่าตาแก่คงรู้ว่าขายส่งไม่ได้ราคา สู้ไปขายปลีกให้กับผู้บริโภคคนสุดท้ายไม่ได้

     ตาแก่เข็นรถของแกต่อไป จนถึงสะพานที่ไม่ชันมากนักแห่งหนึ่ง เรี่ยวแรงของตาแก่ทำให้เข็นรถเข็นที่มีน้ำดื่มบรรจุขวดจำนวนมากขึ้นสะพานอย่างเชื่องช้า รถคันหนึ่งแซงขวามาจากเลนตรงข้าม เกือบเฉี่ยวรถเข็นน้ำของตาแก่ ฉิวเฉียดจนน่าใจหาย แต่ตาแก่ยังประคองรถไว้ได้ สามัญไม่คิดตำหนิคนที่ทำผิดกฎจราจรที่แซงบนสะพานจนเกือบเกิดอุบัติเหตุ อคติต่อคนแก่ซอมซ่อ ทำให้เขาคิดในใจว่า สมบัติศาสนาคงแรงนัก คนที่เอามาหาผลประโยชน์เกือบจะต้องเจ็บตัวแล้ว น่าสงสารที่ตาแก่ไม่รู้ตัวและไม่สำนึกบาปที่กำลังกระทำ

     สามัญยังคงตามติดต่อไป แต่ทิ้งระยะห่างมากขึ้น ตาแก่ยังคงเข็นรถต่อไป ส่วนสามัญก็ตามไปเรื่อยๆ มีคนจรจัดคนหนึ่งเดินสวนทางกับตาแก่ สามัญพยายามมองภาพที่เห็นไกลๆ นั้น จนเดาได้ว่า คนจรจัดพยายามขอน้ำดื่มที่เห็นว่าวางในลังโปร่งๆ จำนวนมาก แต่ตาแก่ไม่ยอมให้ หลังจากพูดอะไรกันสักอย่าง สักพักคนจรจัดก็ยกมือพนมเหนือหัว ตามความคิดของสามัญ คนจรจัดคงยกมือไหว้ขอน้ำกินเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อไม่ได้ก็เดินจากไป ตาแก่ยังคงเข็นรถน้ำต่อไป

    สามัญคิดในใจ ตาแก่ช่างเห็นแก่ตัวอย่างเลวร้ายนัก ของขอมาฟรีๆ จากพระ จะเอาไปอนุเคราะห์เพื่อนร่วมโลกที่กำลังหิวกระหายน้ำยังไม่ยอมเสียแม้เพียงขวดสองขวด คงจะเอาไปขายหมด ตาแก่เข็นรถเข็นเข้าไปในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ซึ่งธรรมดายามไม่น่าจะอนุญาตให้เข้า แต่ตาแก่ที่ดูรู้จักกับยามเป็นอย่างดี ก็เข็นรถเข็นเข้าไปโดยมียามช่วย  สามัญคิดในใจ มันคงทำเป็นกระบวนการเอาน้ำไปขายในสวนสาธารณะ ที่ผู้คนที่มาออกกำลังกายต้องซื้อน้ำดื่ม สามัญยังคงใช้กล้องของเขาบันทึก ทุกขั้นตอนความชั่วช้าของตาแก่เจ้าของรถเข็นน้ำออกมาเป็นภาพนิ่ง พลางคิดสมเพชในใจว่า เกิดมาจนแล้วยังไร้น้ำใจ ไม่ทำทานแล้วยังเอาน้ำของวัดไปขายเอาเงินไปใช้ คิดต่อไปอีกว่า ดูสิรายได้แบบไม่ต้องลงทุนขนาดนี้ ยังไม่รู้จักเก็บเงินยังจนจนแก่ซอมซ่อขนาดนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าขายเอาเงินได้ก็คงเอาไปกินเหล้าหมด และคงหากินกันเป็นขบวนการที่ชั่วช้าสามานย์

     ตาแก่เข็นรถไปหยุดที่หน้าห้องน้ำสาธารณะ เอากะละมังที่อยู่ใต้รถเข็นออกมารองน้ำใส่ผสมน้ำยาล้างจาน แล้วก็เอาขวดบรรจุน้ำที่ขอมาเปล่าๆ จากทางวัดมาล้างทำความสะอาดด้านนอกขวดด้วยฟองน้ำทีละขวดๆ สามัญที่เห็นภาพนั้น รู้สึกทึ่งกับตาแก่ที่ทำชั่วได้แนบเนียน ถึงขนาดเอาขวดบรรจุน้ำออกมาล้างให้สะอาดดูเหมือนใหม่ เพื่อจะได้ขายน้ำดื่มบรรจุขวดบรรจุแก้วได้อย่างแนบเนียน ในราคาเต็ม แถมยังมาใช้น้ำฟรีที่สวนสาธารณะที่มาจากเงินภาษี ทั้งที่อย่างตาแก่คงไม่เสียภาษีใด นอกจากภาษีมูลค่าเพิ่มที่บังคับเก็บจากสินค้า

     ตาแก่คนนี้วางแผนแยบยลอย่างเหนือชั้นจริงๆ สามัญพอมีข้อมูลจากที่ศึกษามาว่า น้ำดื่มบรรจุขวดเหล่านั้น พอพระท่านมีมากเข้าๆ ก็กองเก็บจนอาจเกิดความสกปรกจากฝุ่นได้ ควรจะล้างก่อนนำมาใช้ ยิ่งกว่านั้นหากกองเก็บไม่ดีอาจมีหนูหรือความสกปรกจากแมวหมามาทำให้สกปรกยิ่งขึ้นไปอีก

     บางวัดมีน้ำขวดมากจนพื้นกุฏิไม้แอ่นลงมาเลยทีเดียว น้ำพวกนี้เท่าที่สามัญมีข้อมูล พระท่านจะรวมรวบไว้ตอนงานวัด โดยจะนำมาล้างทำความสะอาดแบบที่ตาแก่ทำอยู่ และแจกจ่ายสาธุชนที่มาร่วมงาน หรือบางทีมีงานกฐินผ้าป่า เจ้าภาพที่รู้จักกับทางวัด ก็จะขอบริจาคเพื่อนำน้ำติดรถไป หรือบางทีก็นำไปแจกในงานวันเด็กหากมีโรงเรียนอยู่ติดกับวัด หรือหน่วยทหารที่จัดงานวันเด็กมาขอความอนุเคราะห์

     ตาแก่ล้างขวดและแก้วบรรจุน้ำจนสะอาดใช้ผ้าสะอาดเช็ดจนแห้ง จากนั้นเรียงจนเต็มกะละมัง แล้วเข็นน้ำออกไปทางร้านขายน้ำผิดคาด ตาแก่เข็นรถเข็นจนเลยร้านขายน้ำ และออกจากสวนสาธารณะไป
ตาแก่หยุดรถอีกครั้งที่ร้านขายน้ำแข็ง เมื่อเจ๊อ้วนเจ้าของร้านเห็นตาแก่ซอมซ่อ เจ๊อ้วนก็ให้ลูกน้องนำลังใส่น้ำแข็งพลาสติกขนาดย่อมไปวางที่ด้านหน้ารถตาแก่ นำน้ำแข็งป่นใส่ลัง ตาแก่ไปนั่งคุยกับเจ๊ในร้าน และดื่มน้ำชาที่เจ๊นำมาให้ ขณะที่ลูกน้องในร้าน ช่วยลำเลียงขวดน้ำดื่ม น้ำดื่มบรรจุแก้ว บางส่วนหมกในน้ำแข็งป่นในถังนั้นเพื่อให้ได้รับความเย็น

     ข้าวของพะรุงพะรังที่ไม่จำเป็น ถูกนำไปฝากไว้ที่หลังร้านเจ๊ รถเข็นของพะรุงพะรังแปลงร่างกลายเป็นรถขายน้ำ สามัญรู้สึกทึ่งอีกครั้งในความแยบยลในการหากินกับสมบัติพระศาสนาอย่างเหนือชั้น รถเข็นขายน้ำคันนั้น พร้อมที่จะออกปฏิบัติการแล้ว

     ตาแก่ไม่ต้องเสียเงินสักบาทที่ร้านน้ำแข็งของเจ๊ สามัญคิดว่าตาแก่คงเซ็นชื่อไว้ รอจ่ายรวมกันปลายเดือนตามที่สามัญคาดไว้ ตาแก่เข็นรถเข็นขายน้ำคั้นนั้นออกไปทางสถานีรถไฟ สามัญ คิดว่า ตาแก่คงต้องเอาน้ำไปขายที่สถานีรถไฟแน่นอน จะเป็นอื่นใดไม่ได้ และนึกสาปแช่งก่อนที่ตามติด สืบเรื่องราวต่อไป 

..........................

     ฟอร์เวิร์ดเมล์ภาพนิ่งชุดใหม่ ถูกถ่ายทอดออกไปแล้ว และถูกส่งต่อไปครั้งแล้วครั้งเล่า จนเชื่อได้ว่ามีผู้อ่านเป็นร้อยหรือหลายร้อย มันอาจไม่ประสบความสำเร็จเท่าอีเมล์ ชุดแฉของเฮงซวยในถังสังฆทาน แต่มันก็ทำหน้าที่ตีแผ่พฤติกรรมที่น่าสนใจในมุมมองของสามัญ เกี่ยวกับคนแก่คนหนึ่งให้สังคมรู้จัก

สามัญนึกไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้น โชคดีว่าพฤติกรรมนักสืบมืออาชีพ ทำให้เขาตามติดพฤติกรรมจนจบ ทราบเรื่องราวชัดแจ้ง ไม่ตัดสินใจด่วนสรุปตามที่ตนเองคิด สุดท้ายสามัญพบว่าตาแก่จอดรถขายน้ำนั่งรอโดยไม่ขายน้ำสักขวด รอจนรถไฟขบวนหนึ่งจากภาคอีสานเข้าจอดที่ชุมทาง พระสงฆ์จำนวนมากลงจากรถไฟเพื่อที่จะเปลี่ยนรถไฟแล้วเดินทางต่อไปทางใต้

     ตาแก่นำน้ำขวดที่แกล้างภาชนะบรรจุภายนอกจนสะอาด ด้วยความประณีตบรรจงเหล่านั้น ถวายแด่พระสงฆ์ที่ท่านมีธุระเดินทางผ่านสถานีรถไฟชุมทางใหญ่ พระสงฆ์มีจำนวนมากกว่า 
30 รูป และตาแก่แจ้งท่านตามตรงว่า นำเอามาจากวัดใหญ่แถวๆ นี้ ล้างภาชนะบรรจุจนสะอาดแล้วจึงนำมาถวายให้ท่านเพื่อดื่ม และนำติดตัวไปดื่มในระหว่างเดินทางต่อไป จะได้ไม่ต้องลำบากซื้อหาหากไม่มีญาติโยมถวาย
     สามัญลองเสาะหาคนที่พอรู้จักคนจรจัดคนนั้น คนที่เขาเคยคิดว่าจะมาขอน้ำกิน สอบถามแล้วพบว่าคนๆ นั้นไม่ใช่คนจรจัดแต่เป็นพนักงานขนส่งสินค้าของการรถไฟ เขาจึงตามหาจนพบ พนักงานเล่าให้ฟังว่า ลุงแกขอน้ำจากวัดมาถวายพระที่นี่เรื่อยแหละ ธรรมดาเอามาไม่กี่ขวด มีพระที่สถานีรถไฟนี้ทุกวัน พอแกรู้ว่าวันนี้จะมีพระสงฆ์เดินทางเป็นหมู่คณะจากอีสานลงใต้ แกเลยเตรียมมามากเป็นพิเศษ ผมเจอแกเมื่อเช้าก็ยกมือท่วมหัวอนุโมทนาบุญกับแก แกเป็นคนดีคนหนึ่งเลยนะครับ

     สามัญชื่นชมตาแก่ซอมซ่อ ที่ทำตัวเป็นสื่อกลางในการทำให้ทานที่นำถวายแด่สงฆ์ที่อาจมากเกินไปในบางจุด ไปสู่จุดที่พระสงฆ์รูปอื่นมีความจำเป็นต้องใช้สอย เพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดแก่หมู่สงฆ์ เขาได้เรียนรู้อีกว่า อย่าตัดสินใครโดยเห็นข้อมูลแค่ครั้งแรก โลกนี้ไม่ได้มีแต่คดีชู้สาวที่พอจะเดาตอนจบได้ แต่มีเรื่องน่าประทับใจหลายเรื่อง ที่น่าสืบหาความจริง และบางทีอาจเป็นเรื่องดีๆ ที่ซ่อนอยู่ในสังคมอันซับซ้อนของเมืองใหญ่แห่งนี้

จาก เวปไซทื ธรรมะใกล้ตั
credit : dong

26 สิงหาคม 2555

ความสุขอาจมีในปัจจุบันถ้าสังเกตดีๆ

ธีระวัฒน์ อนันตวรสกุล

     เสาวรสทำงานในบริษัทใหญ่โตอันดับต้นๆ ของประเทศมาสองปี ด้วยวุฒิปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทอง ทำให้เงินเดือนของเธอมากกว่าพนักงานวุฒิปริญญาโทของบริษัทอื่นๆ โดยทั่วไปเลยทีเดียว แต่เธอก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสุข

ตั้งแต่เล็กเธอถูกกรอกหูว่า ต้องขยันเรียนอีกหน่อยจะได้สุขสบาย เธอจึงมุ่งมั่นกับการไล่ล่าความสุขสบาย ด้วยการตั้งใจเรียนมาโดยตลอด ตั้งแต่ระดับประถมปลาย มัธยมต้น มัธยมปลาย ซึ่งเธอเรียนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ชื่อดัง เรียงลำดับตามสูตรที่หลายๆ คนใฝ่ฝันอยากเข้าเรียน เธอขยันอ่านหนังสือ เธอเรียนพิเศษจนแทบไม่มีวันหยุดพักมาโดยตลอด เพราะรู้สึกว่าความสุขสบายในอนาคตรอเธออยู่ และเธอจะต้องแข่งขันเพื่อไปสู่จุดนั้น

     ไม่นานมานี้ทางบริษัทเปิดสอบชิงทุนเพื่อเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาโท ณ ต่างประเทศ เธอจึงต้องขยันอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้มีทั้งงานที่ต้องรับผิดชอบ ขนาดที่ว่าต้องหอบกลับบ้านไปทำเสาร์อาทิตย์อยู่เป็นประจำ และเธอต้องไปเรียนพิเศษอีกในวันเสาร์ เพื่อเสริมความพร้อมให้เธอสามารถได้ทุนที่มีเพียงทุนเดียวอย่างมั่นใจ

บ่อยครั้งที่เธอคิดเล่นๆ ว่า 
ความสุข อยู่ที่ไหนหนอ” หรือ สงสัยว่า ที่ว่าอีกหน่อยจะสุขสบายนั้น เมื่อไรกัน

..........................

     เสาวรสหงุดหงิดมากวันนี้เป็นวันศุกร์ เธอออกเดินทางไปตรวจบัญชีที่โรงงานต่างจังหวัดแห่งหนึ่งของบริษัท กว่าจะเสร็จก็เกินเวลาไปสามชั่วโมง และเมื่อรถตู้ของบริษัทวิ่งมา ระหว่างทางขากลับรถเกิดเสีย ดีว่าเสียใกล้ปั๊มน้ำมัน คณะตรวจสอบที่มากับรถจึงไปนั่งพักในปั๊มน้ำมัน บางคนเปิดประตูหน้าต่างของรถแล้วนอนหลับรอ เสาวรสวางแผนไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า วันนี้พอกลับถึงบริษัทที่กรุงเทพสักหนึ่งทุ่ม เธอจะจัดการงานที่คั่งค้างให้เสร็จก่อนสี่ทุ่ม เพื่อจะกลับบ้านไปเตรียมตัวเรียนพิเศษในวันเสาร์ เพราะวันสอบชิงทุนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้ว แต่เพราะวันซวยๆ ของเธอ งานเสร็จช้าแถมเพื่อนร่วมงานสะเพร่าลืมเอกสารสำคัญต้องวนรถกลับไปเอา และสุดท้ายรถดันมาเสียกลางทางอีก ทางคนขับรถแจ้งว่า ทางบริษัทจะนำรถคันใหม่มารับ คงเสียเวลารอสักชั่วโมงสองชั่วโมง
     จะเอางานมาทำระหว่างรอ แบตเตอรี่ของคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กก็ดันหมด เธอจึงเอาหนังสือคู่มือเตรียมสอบขึ้นมาอ่าน หวังจะให้มันช่วยฆ่าเวลาอย่างมีประโยชน์ แต่อารมณ์เซ็งที่พะวงถึงแต่งานๆๆ ที่รออยู่ ทำให้อ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง รู้สึกว่าทำไมวันนี้มันเป็นวันที่แย่จริงๆ สำหรับเธอ

ในวันและเวลาเดียวกันนั้นเอง บางคนนอนหลับ บางคนปลีกตัวไปคุยโทรศัพท์เพื่อฆ่าเวลา มีคนหนึ่งในคณะนั้นคือนายมรกต เพื่อนร่วมงานของเธอรออย่างสบายๆ ดูไม่ทุกข์ไม่ร้อน มรกตชอบทำอะไรที่คนอื่นไม่คิดจะทำกัน และดูมีความสุขอยู่เสมอ เช่นไปขอเมล็ดมะละกอจากร้านค้าในโรงอาหารของบริษัท ไปปลูกที่โรงเรียนประถมใกล้ๆ กับบริษัท ขี่จักรยานมาทำงาน หรือใช้วันลาพักร้อนไปเป็นครูอาสาช่วยสอนหนังสือให้เด็กๆ เสาวรสมองดูนายมรกต และคิดว่าเขาคงหา อะไรแปลกๆ ทำได้กระมัง

    นายมรกตถอดเสื้อเชิ้ตออก เหลือแต่เสื้อยืดคอกลมข้างใน เปิดกระเป๋าสะพาย เอามีดคัทเตอร์ ออกมาตัดขวดน้ำดื่มพลาสติกใส ขนาด 
1.5 ลิตรออกจนคล้ายๆ แก้วน้ำ แล้วพลิกไปพลิกมา แล้วเจาะรู จากนั้นเดินไปที่เสาไฟฟ้าหน้าปั๊ม ไปแกะลวดเก่าๆ ที่พันค้างอยู่กับเสา เนื่องจากป้ายหาเสียงที่เป็นพลาสติกคงถูกแกะนำไปขายแล้ว จากนั้นมรกตก็ไปหากิ่งไม้ยาวประมาณหนึ่งเมตรมาหนึ่งอัน โทรศัพท์ของเสาวรสดังขึ้น คุณแม่ของเสาวรสโทรมา เสาวรสจึงละสายตาจากมรกตครู่หนึ่ง เพื่อคุยกับแม่ หันมาอีกทีมรกตกำลังใช้ “กระบวยตักน้ำ ที่เขาเพิ่งจะประดิษฐ์ขึ้น จากขวดน้ำที่ตัดปากออก ลวด และไม้อันที่เขาเก็บมา ตักน้ำจากแอ่งน้ำที่เจิ่งนองจากการล้างรถในลานปั๊ม มารดต้นไม้ที่อยู่ในกระถางใกล้ๆ กันอย่างมีความสุข กระถางแล้วกระถางเล่า จนมีเด็กอายุประมาณห้าหกขวบสองคน คาดว่าเป็นลูกพนักงานปั๊มมาดู มรกตก็หันไปคุยกับเด็กคนนั้น พร้อมยกกระบวยอันนั้นให้ และทำกระบวยอีกอันให้เด็กอีกคนหนึ่ง

     มรกตรู้ตัวว่าถูกมองจึงปลีกตัวออกจากเด็กน้อยนั่นมาที่เสาวรส พร้อมเล่าว่า 
รดต้นไม้เล่นน่ะครับ รอเฉยๆ เสียดายเวลา” มรกตดูมีความสุข ขณะที่มองหนูน้อยนั่นรดน้ำต้นไม้ เพียงแค่เศษวัสดุที่ดูเป็นขยะสองสามอย่าง เขาก็นำมาสร้างความสุขได้
.........................................................................

     ขณะนี้เวลาเที่ยงคืนกว่าเล็กน้อย หลายๆ คนคงนอนหลับอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่นๆ แต่เสาวรสเพิ่งจะสะสางงานเสร็จ คิดกังวลว่าพรุ่งนี้จะตื่นไปเรียนพิเศษไหวหรือเปล่า วันนี้คงต้องกลับบ้านเองด้วย เพราะพี่คนที่อนุเคราะห์ไปส่งเวลาทำงานดึกๆ เสมอๆ ลาพักร้อน รถเมล์สายที่ผ่านบ้านของเสาวรส มีบริการวิ่งตลอดคืน และช่วงนี้รถจะมานานๆ คันหนึ่ง เธอเลือกที่จะนั่งรถเมล์เพราะบ้านเธออยู่ติดถนนใหญ่ และรู้สึกว่าการนั่งแท็กซี่คน เดียว ในตอนกลางคืนอาจไม่ปลอดภัย รถเมล์ปลอดภัยกว่าสำหรับเธอ เพราะเธอคุ้นเคยกับรถเมล์สายนี้ ตั้งแต่เรียนมัธยม กระเป๋ารถและคนขับหลายคนรู้จักเธอ เพราะหลายคนเห็นเธอมาตั้งแต่สมัยอ่านหนังสือในรถ

     วันนี้มรกตไม่ได้ปั่นจักรยานมาทำงาน จึงมาพบเสาวรสโดยบังเอิญที่ป้ายรถเมล์ เสาวรสรู้สึกว่าโชคดีเพราะบ้านของมรกตอยู่ทางเดียวกับเธอ เสาวรสจึงเสนอมรกตว่า 
กลับแท็กซี่ละกันแต่พอจะใช้บริการแท็กซี่ รถแท็กซี่ กลับหายไปหมด ที่ผ่านมาบ้างก็ล้วนมีผู้โดยสาร ทั้งสองคนต้องรอแท็กซี่ต่อไป หรืออย่างเลวร้ายที่สุดก็คงเป็นรถเมล์กะสว่าง ที่จะผ่านมา ชั่วโมงละหนึ่งคัน ซึ่งจะออกจากอู่ต้นทางตอนตีหนึ่ง กว่าจะมาถึงตรงนี้ก็คงประมาณตีหนึ่งครึ่งตามที่เสาวรสวางแผนไว้แต่แรก
ทำไมวันนี้ช่างเป็นวันที่แย่ขนาดนี้นะ” เสาวรสอยากจะตะโกนออกมาดังๆ

เสาวรสนึกอิจฉามรกตซะแล้ว ชีวิตของเขาดูไม่เครียดอะไรเลย ใบหน้าเปื้อนยิ้ม อารมณ์ดีได้ตลอดเวลา

     ป้ายรถเมล์ป้ายนั้นมีร้านสะดวกซื้ออยู่มีไฟสว่างไสว มรกตชี้ชวนให้เสาวรสมองดู หมาข้างถนนตัวหนึ่ง ขนมันสีขาวขมุกขมัวเพราะไม่มีเจ้าของคอยอาบน้ำให้ นั่งแลบลิ้นมองเข้าไปที่ร้านรอรับลมเย็นๆ จากประตูอัตโนมัติที่เปิดเข้าออก ตามจังหวะคนเข้าออกนานๆครั้ง พอประตูอัตโนมัติเปิดทีหนึ่ง เจ้าหมาตัวนั้นมันก็ทำหน้าดีใจพร้อมกับกระดิกหาง พอประตูปิดมันก็หยุดกระดิกหาง

     ภาพนั้นทำให้เสาวรสยิ้มหัวเราะตามมรกตไปได้ แล้วมรกตก็เอื้อมมือก้มตัวลงไปหยิบถ้วยพลาสติกใส่เครื่องดื่มสีชมพูที่เขาทิ้งแล้ว มันน่าจะเคยเป็นนมเย็นใส่น้ำแดง มันถูกวางทิ้งไว้ที่พื้นระหว่างที่นั่งที่มรกตและเสาวรสนั่งอยู่ มรกตบอกกับเสาวรสว่า 
รู้มั้ย ว่าหมามันชอบมาก” นมเย็นแก้วนั้นนอนก้นอยู่ข้นคลั่ก ใต้น้ำแข็งที่ละลายเป็นน้ำอยู่ส่วนบน มรกตค่อยๆ รินน้ำเปล่าส่วนบนนั้นทิ้งในกระถางต้นไม้เหี่ยวๆ หน้าร้านสะดวกซื้อ แล้วเรียกหมาเข้ามาใกล้

     เจ้าหมาขาวขมุกขมัวเดินมาหาอย่างว่าง่าย แล้วมรกตก็เทนมเย็นลงแก้วกระดาษ ที่ฉีกขอบจนเป็นแก้วเตี้ยๆ และไสแก้วกระดาษนั้นไปทางเจ้าหมา เจ้าหมาเลียนมเย็นอย่างเอร็ดอร่อย มรกตยิ้มดีใจแล้วบอกเสาวรสว่า
ห็นไหม เห็นไหม ว่ามันชอบ

เพียงเครื่องดื่มที่เหลือทิ้งดูเป็นขยะ เขาก็นำมาสร้างความสุขได้
     นมเย็นหมดแก้วไปแล้ว มีเด็กขายพวกมาลัยสี่คน ท่าทางคงจะเลิกขายแล้วในคืนนี้เดินผ่านมาพอดี มรกตเปิดกระเป๋าหยิบขนมขบเคี้ยวแบบ ซอง และน้ำผลไม้แบบกล่อง ออกมาจำนวนหนึ่ง มันเป็นของว่างที่แจกบนรถวันนี้ แต่หลายคนไม่กิน รวมทั้งเสาวรสและมรกต มรกตจึงเก็บรวบรวมใส่กระเป๋าสะพายของเขามาด้วยความเสียดาย มรกตนำมันมาแจกแบ่งปันกับเด็กๆ ขายพวงมาลัยเหล่านั้น สร้างความดีใจให้เด็กๆ และรอยยิ้มบนใบหน้าของมรกต

เพียงของสิ่งบางคนไม่ต้องการและมองข้าม เขาก็นำมาสร้างความสุขได้
เสาวรส รู้สึกทึ่งกับ มรกต คนที่ดูเหมือนกับว่า สามารถ หา ความสุข ได้จากสิ่งของรอบๆ ตัว ได้เรื่อยๆ
รถเมล์มาแล้ว เสาวรสนั่งรถเมล์ไปกับมรกต และเอ่ยถามมรกตว่า 
ทำไม ดูมีความสุขได้ทุกวี่ทุกวัน

มรกต ตอบอย่าง อารมณ์ดีว่า
ถ้า สังเกตดีๆ แล้ว ความสุขอาจมีอยู่ในปัจจุบัน รอบๆ ตัวเรา ความสุข ในอนาคตอย่าไปหวังเลย สังเกตดูดีๆ ในปัจจุบันสิแล้วจะเจอ หาไม่ยากหรอก
..............

จากคำพูดของมรกตในวันนั้น เสาวรสเริ่มมองความสุขรอบตัวมากขึ้น แม้ว่ายังต้องเรียนพิเศษอยู่อย่างเดิม แม้ว่าใกล้จะสอบแข่งขันครั้งสำคัญ แต่เธอเชื่อแล้วว่า
ความสุขในปัจจุบันมีอยู่จริง และจะพบมันถ้าสังเกตดีๆ

จาก เวปไซท์ ธรรมะใกล้ตัว

20 สิงหาคม 2555

คนขุดบ่อน้ำผู้บังเอิญเห็นอนาคต


ธีระวัฒน์ อนันตวรสกุล
     พัดลมระบายอากาศส่งลมผ่านท่อลมลงไปสู่ก้นบ่อเบื้องล่าง เชี่ยวกำลังทำงานขุดบ่อน้ำ ในขณะที่ค่อยๆ โกยดินปนขี้เลนเฉอะแฉะจากก้นบ่อ ดินเลนที่ถูกโกยขึ้นถังแล้วถังเล่า ถูกอ่องคะยอคะยอเพื่อนร่วมงานต่างด้าวชาวพม่าดึงขึ้นไป ก่อนที่จะหย่อนถังเปล่าลงไปรับดินอีก เมื่อเหนื่อยได้ที่เชี่ยวก็จะปีนบันไดไม้ไผ่ขึ้นมา ผลัดให้นายอ่องลงไปโกยดินบ้าง

เชี่ยวเคยเป็นถึงหัวหน้าคนงานก่อสร้าง ก่อนที่จะลาออกมาทำงานรับเหมาขุดบ่อน้ำซึม เพื่อเป็นทางเลือกให้เจ้าของบ้านเรือนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่พอมีบริเวณ และเจ้าของต้องการลดค่าใช้จ่ายน้ำประปาที่มีความสะอาดเกินกว่าที่จะใช้รดน้ำต้นไม้หรือล้างพื้น ด้วยการใช้น้ำซึมจากบ่อน้ำซึม ซึ่งลึกประมาณสามเมตรมาทดแทน บางบ้านนำไปกรองผ่านทรายและถ่านแกลบ เพื่อใช้ราดส้วมเลยทีเดียว เชี่ยวภูมิใจว่างานของเขาเป็นการช่วยลดพลังงานที่ใช้ในการผลิตน้ำประปา และช่วยลดภาวะโลกร้อน และเหมาะกับกรุงเทพและชานเมืองที่มีน้ำใต้ดินสูง นายอ่องชาวพม่าเป็นคนดี รักษาศีล 
ด้ทุกข้อ และขอหยุดงานในวันพระ เพื่อไปปฏิบัติธรรมที่วัด ทำให้เชี่ยวต้องหยุดวันพระไปด้วย ในการทำงานหนักนั้น นายอ่องมักจะทำงานขุดบ่อได้ทนทานกว่า เชี่ยวจึงถามถึงเคล็ดลับการทำงานให้ทนมากขึ้น ซึ่งนายอ่องก็บอกว่า เป็นผลจากการปฏิบัติธรรม ฝึกสติความรู้ตัว

     เท่าที่รู้จักกันมานายอ่องไม่ใช่คนพูดเล่นไร้สาระ แต่เชี่ยวก็นึกตลกและเถียงไปว่า 
สรุป ข้าต้องไปนั่งปฏิบัติธรรมกับเอ็งที่วัดทุกวันพระหรือไง ถึงจะทำงานอึด” นายอ่องจึงตอบว่า ก็ทำไปในขณะทำงานขุดดินโกยขี้เลนนี่แหละ” นายอ่องอธิบายว่าจดจ่อกับงานที่ทำอยู่เฉพาะหน้า ไม่ต้องคิดเรื่องอื่น ทั้งอดีตอนาคต ให้จดจ่อกับปัจจุบันเพียงเท่านั้น เวลาตักดินแต่ละครั้ง ก็จดจ่อกำหนดว่า ตักหนอ ตักหนอ นายอ่องย้ำว่าการปฏิบัติธรรมทำได้ทุกอิริยาบถทุกลมหายใจเข้าออก ขณะเดินและในขณะทำงาน เชี่ยวเพียงแต่รับฟังเฉยๆ ไม่เคยคิดจะปฏิบัติตามเพราะคิดว่าการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องไกลตัว เอาไว้แก่ก่อนมีเงินทองก่อนค่อยศึกษาจริงจังก็ยังทัน อีกทั้งไม่เชื่อว่าการทำแบบนายอ่องจะทำให้เขาทำงานทนขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเชี่ยวรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า การคบหาและร่วมงานกับคนดีทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น เพราะหลังจากทำงานร่วมกับนายอ่อง ไม่มีลูกน้องมากมายอย่างที่เคยเป็น เชี่ยวก็ประหยัดเงินค่าเหล้าค่าบุหรี่ไปมาก ซึ่งแต่ก่อนนอกจากกินเองใช้เองแล้ว ยังต้องแจกลูกน้อง เงินที่ส่งกลับไปให้แม่บุญธรรมที่ต่างจังหวัดก็มากขึ้นๆ

     เชี่ยวเรียนรู้จากนายอ่องว่าแม้พม่าขาดแคลนความเจริญทางวัตถุ ขนาดที่คลอดลูกยังอาจตายได้ แต่ คนก็มีความสุขจากการปฏิบัติธรรมเป็นการชดเชย นายอ่องเล่าว่า เมืองไทยมีความสุขสบาย แต่เขากลับนึกสงสารคนไทยบางคนที่คิดว่า ตัวเองมีความสุข ทั้งๆ ที่เป็นความสุขจากอบายมุข อันนำมาซึ่งความเสื่อม ซึ่งอบายมุขต่างๆ มีครบครันและมากมายในประเทศไทย นายอ่องชวนเชี่ยวให้มาปฏิบัติธรรม แต่เชี่ยวก็ไม่เคยทำคิดว่าแค่แบ่งเงินไปทำบุญสม่ำเสมอก็เพียงพอ จึงตอบนายอ่องอย่างติดตลกไปว่า ศาสนาพุทธจะอยู่อีกถึง พ.ศ. 
5000 ทำบุญมากๆ ชาติหน้าเกิดเป็นมนุษย์อีกที ค่อยเริ่มปฏิบัติธรรมจริงจังก็ยังทัน 
     วันหนึ่งมีคนว่าจ้างเขาและนายอ่องให้ไปขุดบ่อน้ำ เพื่อถวายวัดแห่งหนึ่งที่มีการปลูกต้นไม้มาก เจ้าภาพตั้งใจถวายมากให้ใส่ลูกเล่นในงานหลายอย่าง รวมถึงจักรยานสูบน้ำจำนวนหลายตัว เพื่อให้คนที่มาวัดตลอดจนพระสงฆ์ได้ใช้ออกกำลังกาย เมื่อทั้งสองทำงานให้วัด พระก็ให้ข้าวน้ำที่ท่านฉันไม่หมดแก่ทั้งสองทุกวัน นายอ่องบอกว่าทั้งไข่ทั้งหมูอาหารดีๆ ทั้งนั้น แต่เชี่ยวมองว่าก็แค่อาหารธรรมดาๆ ที่วัดนี้เองนายอ่องถูกตำรวจจับข้อหาเข้าเมืองผิดกฎหมาย เพราะแสดงความกล้าหาญตอบแทนข้าวก้นบาตร ช่วยทางวัดจับหัวขโมยขี้ยาสองคนที่มางัดตู้รับบริจาคเงินและขโมยพระพุทธรูป นายอ่องผู้แข็งแรงกำยำเพราะขุดบ่อน้ำทุกวัน แถมเป็นมวยและดาบทวน ใช้เพียงไม้กวาดของวัดที่เคยใช้กวาดเศษขยะในวัด จัดการเจ้าขี้ยาขยะสังคมที่มีมีดยาวจนอยู่หมัด แต่ตนเองก็ต้องถูกส่งกลับประเทศ

     วันแห่งการจากลาจึงมาถึง นายอ่องเพื่อนชาวพม่าผู้แสนดีตักเตือนเชี่ยวว่า อย่าประมาทในการปฏิบัติธรรม การเกิดเป็นมนุษย์นั้นยากมาก และบอกเชี่ยวว่าไม่ต้องห่วงเขา เงินที่เขาส่งกลับไปให้แม่จากการมาทำงานเมืองไทยหลายปี เพียงพอที่จะทำอะไรหลายอย่างได้สบายๆ และเขาก็คิดถึงแม่ที่แก่ชรามากแล้วด้วย แล้วย้ำกว่าการปฏิบัติธรรมทำได้ทุกอิริยาบถ เชี่ยวยังหาคนมาช่วยงานไม่ได้ ต้องโกยดินและปีนบันไดมาทิ้งดินเอง วันหนึ่งพัดลมดูดอากาศเสีย อากาศไม่เพียงพอทำให้เขาสลบไป 
     ผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้ เชี่ยวตื่นขึ้นมาและอยู่ในสถานที่ที่แปลกออกไป เขาเดินหลงทางในหมู่ผู้คนที่ทุกคนเดินไว ไม่มีใครสนใจใคร ท่ามกลางเปลวแดดที่ร้อนจนแสบผิว ผู้คนหลายคนสวมชุดแปลกๆ คล้ายผ้าสีเงิน เพื่อสะท้อนรังสีความร้อน บางคนมีหน้ากากคล้ายนักประดาน้ำ ระหว่างที่กำลังงุนงงกับสิ่งรอบตัวที่เปลี่ยนไป เด็กคนหนึ่งในวัยประมาณนักศึกษามหาวิทยาลัยก็เข้ามาพูดคุยกับเขา ดีที่ยังคุยกับรู้เรื่องแม้ยากเต็มที เพราะสำเนียงและศัพท์แปลกๆ ที่ชายคนนั้นพูด เขาไม่เคยได้ยินได้ฟังจากที่ไหน

     เจ้าหนุ่มสรุปว่าเชี่ยวคงมาจากพื้นที่ห่างไกลอารยธรรม แล้วเชี่ยวก็ต้องตกใจเมื่อทราบว่าเขาอยู่ใน ปี พ.ศ.
3750 ทำอะไรไม่ถูกอยู่พักใหญ่ คุยไป คุยไป รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ก็พอจับใจความได้ว่า เจ้าหนุ่มวิจารณ์ว่า เพราะเมื่อพันกว่าปีที่แล้ว บรรพบุรุษได้ขุดเชื้อเพลิงคาร์บอนใต้พิภพที่ธรรมชาติใช้เวลาหลายล้านปีในการเก็บกักมันไว้ใต้โลกผ่านซากพืชสัตว์ที่ทับถมใต้ดินออกมาใช้เป็นแหล่งพลังงาน โลกเลยเกือบพินาศ เกิดขาดแคลนอาหาร โรคระบาด และภัยธรรมชาติมากมาย น้ำท่วมโลก มหาพายุ สรุปคือโลกมีกลไกที่ดีในการดึงคาร์บอนจำนวนมหาศาลลงไปเก็บในพื้นโลก แต่มนุษย์กลับปลดปล่อยมันขึ้นมาอีกครั้ง

เชี่ยวเอ่ยถามว่า เมื่อหมดยุคน้ำมันโลกใช้อะไรกัน เจ้าเด็กหนุ่มในอนาคตพูดเข้าใจยาก แต่พอเดาได้ว่าน่าจะเป็น ลม แสงแดด พลังงานความร้อนจากใต้พิภพ และนิวเคลียร์ เชี่ยวคิดว่าถ้าเขากลับไปได้จะไปทำธุรกิจลดการใช้น้ำประปาต่อไป เพื่อช่วยโลกลดพลังงานในการผลิตและขนส่งน้ำประปา ซึ่งคงเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยลดโลกร้อน เพราะอนาคตเป็นผลจากปัจจุบัน จากนั้นเชี่ยวขอให้เด็กหนุ่มพาเขาไปวัด เพราะคิดว่าพระอาจช่วยส่งเขากลับไปปี 
2540 ได้ ซึ่งกว่าจะรู้เรื่องก็ยากเหลือเกิน เพราะในยุคนั้นพระไม่เหมือนกับพระในสมัยนี้แล้ว เจ้าเด็กหนุ่มพาเขาไปวัดแห่งหนึ่ง ณ ที่นั้นเป็นตึกคล้ายตึกแถวเล็กๆ เพียงห้องเดียว วัดอยู่บนชั้นที่สามของตึกมีพื้นยกขึ้น พระแต่งตัวคล้ายคนปกติ มีผ้าเหลืองชิ้นเล็กๆ คล้องหูเพื่อแสดงว่าเป็นพระ และท่านยังต้องทำงานหาเลี้ยงชีพเอง

     เชี่ยวนึกสลดใจ มันคล้ายสารคดีพุทธศาสนาของบางประเทศในปัจจุบันไม่มีผิด คำสอนดั้งเดิมถูกตีความออกไปเป็นหลายร้อยสาขา จนกระทั่งพระสามารถทำมาหากินได้ สามารถมีครอบครัวได้ ความเป็นพระสืบผ่านสายเลือดได้ และการนุ่งห่มของพระแตกต่างไป เมื่อถามถึงพระพุทธรูป พระที่แต่งกายแปลกๆ องค์นั้นชี้ไปที่ รูปพิมพ์สีของพระพุทธเจ้าบนผืนผ้าเก่าคลาคล่ำบนผนัง ซึ่งมีอายุกว่า 
1200 ปี เมื่อถามถึงการปฏิบัติธรรมพระในอนาคตก็ไม่รู้เรื่องอะไรแล้ว

เชี่ยวคิดว่า หากกลับไปได้เขาคงต้องรีบปฏิบัติธรรมอย่างไม่รีรอแล้วก็เหมือนกับโลกหมุนคว้าง เชี่ยวเหมือนตกจากที่สูง เมื่อตกใจสุดขีดเชี่ยวก็ตื่นขึ้นมา พร้อมยาดมที่เด็กวัดคนหนึ่งจ่อจมูก 
ฟื้นแล้วครับ หลวงพี่” เด็กวัดตัวเล็กตะโกนอย่างตื่นเต้น อาตมาตกใจแทบแย่ เด็กวัดบอกโยมหมดสติอยู่ก้นบ่อ เลยเรียกให้นำตัวขึ้นมา หลวงพี่จึงเทศน์สอนเด็กวัดว่า พวกเธอดูน้าเขาเป็นตัวอย่าง น้าเขาเล่าให้ฟังว่า ทำงานส่งเสียแม่บุญธรรมมาตั้งแต่เป็นวัยรุ่น ขนาดสอบได้ทุนเรียนต่อก็ปฏิเสธ เพราะอยากรีบออกมาทำงานหาเลี้ยงแม่บุญธรรมที่ยากลำบากเลี้ยงดูมา ความกตัญญูจึงทำให้อยู่รอดปลอดภัย แม้น่าจะต้องตายก็ไม่ตาย ดูสิ อยู่ในที่อับอากาศหายใจไม่ออกเกือบชั่วโมง ยังมีชีวิตอยู่ได้เลย

     เชี่ยวคิดถึงคำของอ่องคะยอคะยอเพื่อนเก่าว่า ควรรีบปฏิบัติธรรมเสียแต่ในชาตินี้ที่คำสอนและข้อประพฤติปฏิบัติต่างๆ ยังชัดเจนอยู่มาก และนึกถึงประสบการณ์ที่เขาพึ่งพอเจอมาว่า ความตายอาจมาถึงตัวเมื่อใดก็ได้ และการปฏิบัติธรรมควรทำแต่เดี๋ยวนี้ไม่รอแก่หรือชาติหน้า 
งานในบ่อเริ่มขึ้นอีกครั้ง เชี่ยวจดจ่อกับงานตรงหน้า อย่างมีสติ รู้แล้วว่า การปฏิบัติธรรมฝึกสติความรู้ตัวนั้น สามารถกระทำได้ทุกอิริยาบถ ไม่เว้นแม้ในขณะทำงาน

…………………………………………

หมายเหตุ 
หากใครต้องการดูงาน การขุดบ่อน้ำเพื่อนำไปใช้ สามารถ ไปเยี่ยมชมได้ที่ 
บริเวณ ทางเดินรอบโลหะปราสาท วัดราชนัดดา เขตพระนคร กรุงเทพมหานครสนามหน้าวัดเทพธิดาราม เขตพระนคร กรุงเทพมหานครอุทยานสมเด็จย่า เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร จุดนี้มีการใช้จักรยานสูบน้ำด้วยครับ
Credit : Dong