(จากหนังสือ “พลังบำบัด” โดย นพ แอนดรูว์ ไวล์, หน้า 147-152)
ผมจะเล่าประสบการณ์ประวัติศาสตร์เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับเพื่อนชาวญี่ปุ่นของผมให้ฟังเป็นตัวอย่างนะครับ ชินอิชิโร เทรายามา เป็นผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่งของสมาคมการแพทย์องค์รวมแห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan Holistic Medical Society) ผู้เอาชีวิตรอดจากมะเร็งมาได้ โดยการศึกษาแล้ว ชินเป็นนักฟิสิกส์และเป็นที่ปรึกษาด้านการบริหาร ปัจจุบัน ในวัย 58 ปี ชินมีสุขภาพยอดเยี่ยม เป็นผู้ก่อตั้งเครือข่ายความร่วมมือด้านการแพทย์องค์รวมระดับนานาชาติ เป็นที่ปรึกษาของผู้ป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคมะเร็ง และยังเป็นนักเชลโล ที่ฝีมือดีมากคนหนึ่งด้วย ถ้าดูจากรูปถ่ายของเขาเมื่อสักสิบปีก่อน ผมคงไม่ชอบเขาอย่างวันนี้ ก่อนที่แพทย์จะวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง เขาดูหดหู่ ไม่น่าคบหาเลย ไม่เหมือนกับปัจจุบันที่เป็นชายผู้อบอุ่น อ่อนโยน และมีจิตใจแจ่มใสเบิกบานด้วยความ “หลุดพ้น”
เมื่อก่อน ชินเป็นคนบ้างาน พร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมง นอนน้อย ดื่มกาแฟหนักถึงวันละ10-20 ถ้วย โปรดปรานสเต๊กเนื้อและของหวาน ไม่มีเวลาแม้แต่จะฟังดนตรีบ้าง
เมื่อฤดูใบไม้ร่วงปี 1983 ชินเป็นไข้นานถึง 1 เดือน จนนั่งหรือยืนไม่ติดเลย แต่แพทย์ก็ไม่พบว่ามีอะไรผิดปกติ เดิมทีนั้นชินเป็นคนที่เชื่อมั่นในการแพทย์แผนปัจจุบัน และวิธีของโรงพยาบาลอย่างเต็มร้อย หลังจากนั้นอีกไม่กี่เดือน ชินปัสสาวะมีเลือดปนออกมาและอ่อนเพลียมาก เพื่อนคนหนึ่งของเขาเป็นแพทย์แผนตะวันออกที่บำบัดในเชิงแมคโครไบโอติกส์ ได้ลองสังเกตและฝังเข็มดู แล้ววินิจฉัยว่าคงมีอะไรผิดปกติที่ใดของเขาเป็นแน่ เพื่อนแนะนำให้เขาเลิกกินอาหารแบบเดิมๆให้สิ้นเชิง แต่ชินไม่ได้ทำตาม เพราะแพทย์แผนปัจจุบันก็บอกว่าเขาเป็นปกติดี
ถึงต้นฤดูใบไม้ร่วงปี 1984 ชินก็อ่อนแรงลงเรื่อยๆ จนทำงานต่อไปไม่ได้ อยากแต่จะนอนอย่างเดียว จึงเข้าไปขอตรวจร่างกายเพิ่มเติม คราวนี้แพทย์บอกว่าชินมีก้อนในท้อง และเมื่อแพทย์สั่งตรวจโดยวิธีโซโน -
แกรม (การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง) ก็พบว่าไตข้างขวาของชินมีขนาดใหญ่กว่าปกติถึง 30 เปอร์เซ็นต์ แต่ชินก็ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะทำอะไร จนเมื่อภรรยาและแพทย์เจ้าของไข้ช่วยกันหว่านล้อมให้เขาเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง คราวนี้แพทย์เอกซเรย์พบว่าที่ไตของเขามีเนื้องอกขนาดใหญ่ แพทย์จึงพยายามกดดันให้เขายินยอมให้ตัดไตข้างนั้นออก เมื่อชินถามว่าก้อนเนื้อดังกล่าวเป็นเนื้อร้ายหรือเปล่า แพทย์ใช้คำว่า “ก็ก้ำกึ่ง” ซึ่งความจริงก็คือมะเร็งในไตนั่นเอง ที่ร้ายก็คือมันลามไปที่ปอดของเขาแล้ว
ธรรมเนียมอย่างหนึ่งของแพทย์ญี่ปุ่นคือ มักจะไม่แจ้งให้ผู้ป่วยทราบว่าเป็นมะเร็ง เพราะเห็นว่าจะทำให้ผู้ป่วยคิดมากหรือรันทดใจ แพทย์ของชินก็เช่นกัน หลังผ่าตัดแล้ว แพทย์เจ้าของไข้แจ้งว่าจะให้ยาฉีดป้องกันอาการแทรกซ้อน 1 ชุด ซึ่งอันที่จริงยาตัวนั้นคือยา คิสพลาทินัม (cisplatinum) ซึ่งเป็นเคมีบำบัดมะเร็งอย่างแรงตัวหนึ่ง ชินไม่รู้ตัวเลยว่ายาที่ว่านั้นจะทำให้เขาอาเจียนรุนแรง เคราและผมก็หงอกและร่วงไปมากมาย ชิน
- 2 -
จึงไม่ยอมรับยาให้ครบชุด แพทย์จึงเปลี่ยนวิธีให้เขารับการฉายรังสีเข้าที่บริเวณไต ซึ่งชินบอกว่าการรับรังสีนั้นเหมือนกับตาก “แดดเทียม” หลังจากรับรังสีได้ไม่กี่ครั้ง เขาก็เพลียยิ่งกว่าเดิม ได้แต่นอนแบ็บอยู่บนเตียงทั้งวันทั้งคืน ตกคืนหนึ่งเขาก็ฝันว่ายืนอยู่หน้าหลุมศพของตัวเอง ชินรู้ตัวแล้วว่าเขาป่วยหนัก ซึ่งอาจถึงตายได้ ซ้ำร้ายแพทย์ยังปิดบังอยู่ตลอดว่าเขาไม่เป็นอะไรมาก ถึงตอนนี้ชินมีอาการประหลาดคือ จมูกไวเกินปกติ
“ผมอยู่ตึกคนไข้บนชั้นสอง” เขาเล่า “แต่ผมได้กลิ่นเขาปรุงอาหารในครัวที่ชั้น 4 ได้กลิ่นกายพยาบาลทุกคน ที่ร้ายคือ ผมได้กลิ่นจากผู้ป่วยทั้งหกคนที่อยู่ร่วมห้องโถงเดียวกัน ผมได้กลิ่นความตายจนทนอยู่ต่อไปไม่ได้ ” ชินรอจนค่ำลง แล้วลอบลุกออกไปจากห้องผู้ป่วย ค่อยเดินตามกลิ่นไปจนถึงดาดฟ้าของตึกคนป่วย ซึ่งเป็นที่เดียวที่เขาได้กลิ่นอากาศที่สะอาดสดชื่น จึงสูดเข้าไปเต็มปอด ในเวลาเดียวกัน เมื่อพยาบาลรู้ตัวว่าชินหายไป จึงเปิดสัญญาณฉุกเฉิน เมื่อทีมค้นหาไปเจอตัวเขาอยู่บนดาดฟ้า ทุกคนสำคัญผิดว่าเขากำลังจะฆ่าตัวตาย และกำลังจะทำให้โรงพยาบาลเสื่อมเสียชื่อเสียง จึงพากันรวบตัวเขาลงมาจากดาดฟ้า
รุ่งขึ้น แพทย์เจ้าของไข้ตะคอกชินว่า “เมื่อคืนคุณก่อเรื่องเดือดร้อนนะ ถ้ายังอยากอยู่ที่นี่ต่อไปก็ต้องทำตามกฎ ไม่งั้นก็กลับไปอยู่บ้านได้เลย ” ชินฟังคำหมอราวกับได้ยินเสียงดนตรี ได้ทีรีบเผ่นออกจากโรงพยาบาลตรงกลับบ้านทันที แล้วก็รีบไปพบแพทย์ที่บำบัดด้วยอาหารแบบแมคโครไบโอติกส์ ผู้ที่เคยขอให้เขาปฏิรูปเรื่องอาหารการกินเสียใหม่ โดยเริ่มจากกินข้าวกล้องอย่างเดียว
“นึกภาพไม่ออกเลยจริงๆ” ชินเล่าให้ฟัง
เช้าวันรุ่งขึ้น ชินลืมตาขึ้นมาอย่างแปลกใจที่ตัวเขายังมีชีวิตอยู่ บรรยากาศยามเช้าสดใสแช่มชื่นเกินกว่าที่เขาจะนอนต่อไปได้ ชินอยากเห็นพระอาทิตย์เยี่ยมขอบฟ้าจนทนอยู่ไม่ไหว ต้องไต่บันไดขึ้นไป 8 ชั้น จนถึงดาดฟ้าอพาร์ตเม้นท์ของเขา ชินนั่งลงมองดูดวงอาทิตย์เยี่ยมพ้นขอบฟ้าของมหานครโตเกียว ชินบังเกิดความรู้สึกที่ทำให้เขาต้องหลับตาสวดมนต์และนึกถึงคำสอนต่างๆของพระพุทธเจ้า แสงแดดอ่อนอุ่นกำซาบเข้าสู่ทรวงอกของเขาให้เต็มซ่านด้วยพลังงาน
“ผมรู้สึกว่ากำลังจะมีเรื่องมหัศจรรย์เกิดขึ้น ผมน้ำตาไหลเลย ” เขาพูด “ผมซึ้งใจมากที่ยังรอดชีวิตอยู่ ดวงอาทิตย์เป็นเสมือนเทพของผม พอขากลับลงมา ผมเห็นคนในครอบครัวมีรัศมีเรืองรอง ทุกคนเป็นเทพของผม ”
ตั้งแต่นั้นจนหลายสัปดาห์ต่อมา ชินปฏิรูปอาหารการกินใหม่หมด และรักษาตัวอย่างเคร่งครัด กิจวัตรที่เขารอคอยคือ การขึ้นไปรับแสงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณบนดาดฟ้า อาการของเขายังไม่ถึงกับเป็นปกติคงที่นัก แพทย์พยายามท้วงติงให้เขาเลิกกินอาหารแมคโครไบโอติกส์แล้วมารับเคมีบำบัดแบบกินทางปากอีกครั้ง และบังคับให้เขากินเนื้อกินปลามากๆ ชินไม่ยอม เขาไปลงทะเบียนเข้าบำบัดในสถานบำบัดแห่งใหม่ที่เพื่อนเขาเปิด
- 3 -
ขึ้นในเทือกเขาแอลป์ของญี่ปุ่น ชินลงแช่น้ำพุร้อน กินอาหารบำรุงจากธรรมชาติหลายขนาน เขาพักผ่อนคลายเต็มที่ เดินออกกำลังไปตามป่าละเมาะเชิงเขา และกลับมาเล่นเชลโลอีกครั้งหลังจากร้างราไปหลายปี
“อากาศบริสุทธิ์และน้ำสะอาดหล่อเลี้ยงชีวิตผมไว้ ” ชินระลึกความหลัง “ผมเริ่มรู้สึกถึงพลังธรรมชาติรอบกายและแม้แต่ในตัวผมเอง ผมเริ่มสำนึกว่าต้นเหตุมะเร็งน่ะอยู่ที่ตัวผมเอง ผมก่อมะเร็งให้ตัวเองด้วยการทำตัวผิดๆ เมื่อรู้ตัวอย่างนี้แล้ว ผมจึงต้องรักมะเร็งในตัวผม เลิกย่ำยีบีฑาเหมือนกับมันเป็นศัตรูร้าย มะเร็งอยู่ในตัวผม ผมก็ต้องรักตัวเองอย่างที่เป็นอยู่นี่ละ ”
ทุกวันนี้ชิน เทรายามา มิได้เป็นเพียงชายผู้รอดชีวิตจากโรคมะเร็งเท่านั้น แต่เขาเป็นคนใหม่ ผู้ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของตนเองอย่างสิ้นเชิง เป็นคนใหม่ทั้งรูปลักษณ์ พฤติกรรม และความรู้สึกนึกคิด ผมว่าผม “มีโชค” ที่ได้ปีนเขากับชิน ทั้งในญี่ปุ่นและในอเมริกา ได้นั่งแช่ในน้ำพุร้อนธรรมชาติ ได้นั่งดื่มด่ำกับการแสดงตนตรี ได้ฟังคำบรรยายของชิน และได้ฟังเขาให้คำปรึกษาแก่ผู้ที่เริ่มรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งด้วย
“คุณต้องยอมรับมะเร็งนะ” เขาแนะนำผู้ป่วยมะเร็ง “มันก็เป็นเสมือนของขวัญที่ชี้ทางสว่างให้คุณปรับปรุงชีวิตใหม่นั่นเอง ”
แพทย์หลายคนคงไม่เห็นด้วยว่ากรณีของชินเป็น “การบำบัดโรคด้วยตนเอง” หรอกครับ เพราะจริงอยู่ ชินผ่านการรักษาครบถ้วน ทั้งการผ่าตัด ฉายรังสี และเคมีบำบัด และแม้ว่าเขาจะไม่ได้รับการรักษา 2 วิธีหลังจนครบวาระก็ตาม มะเร็งที่ไตเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก โดยเฉพาะเมื่อลามไปที่ปอดแล้ว ผู้ป่วยที่จะรอดชีวิตไปได้ถึง 5 ปีมีเพียง 5 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น แต่ก็เป็นหนึ่งในมะเร็งหลายชนิดที่สามารถทุเลาหรือหายไปได้เอง เรื่องที่ผมประทับใจที่สุดคือ การที่ชินเพียรขึ้นไปรับแสงอรุณบนดาดฟ้าทุกวัน จนเกิดการแปรผันในระดับจิตวิญญาณ เปรียบได้เป็นแสงอรุณที่แผ่ซ่านเข้าสู่ทรวงอกและร่างกายของเขา และประทับใจในถ้อยคำที่ชินสรุปว่า
“ผมจึงต้องรักมะเร็งในตัวผม เลิกย่ำยีบีฑาเหมือนกับมันเป็นศัตรูร้าย ”
นี่ละครับ การยอมรับตัวตนอันแท้จริง คนเราส่วนมากไม่ใคร่จะยอมรับหรือพอใจกับตัวเอง แต่กลับวางตัวอยู่กับการเผชิญหน้าและเปรียบเทียบไม่รู้จบ โดยตั้งเจตนาไว้เช่นนั้นเช่นนี้ แล้วพยายามจัดรูปการหรือสภาพต่างๆให้เป็นดังใจหวัง เล่าจื๊อ มหาปราชญ์แห่งจีนโบราณได้เคยกล่าวไว้ว่า ทัศนะเช่นนี้ห่างไกลจากปรัชญาการดำเนินชีวิตแบบเต๋าเสียยิ่งนัก และผู้ที่ยึดติดกับความคิดนี้ย่อมมืดมน
“ดังสายน้ำลัดเลาะหลีกศิลากลางกระแส จงน้อมรับเหตุการณ์อันพ้นวิสัย มีคำกล่าวว่า “มีกำลังใจ ย่อมมีหนทาง” แต่จงปล่อยชีวิตไปตามครรลอง จนบั้นปลาย กำลังใจนั้นหาใช่หนทางไม่ หากต้านครรลองแห่งชีวิต มันย่อมสิ้นลง”
การยอมรับ จำนน หรือจนมุม ไม่ว่าคุณจะเลือกใช้คำใดก็ตาม ทุกอย่างคือการเปลี่ยนจุดยืนในจิตใจ ซึ่งบ่อยครั้งกลายเป็นกุญแจดอกสำคัญที่จะ “ไข” เข้าไปสู่การบำบัดโรคได้ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น