27 กรกฎาคม 2555

ชินอิชิโร เทรายามา - ผู้เอาชีวิตรอดจากมะเร็ง


(จากหนังสือ พลังบำบัด โดย นพ แอนดรูว์  ไวล์, หน้า 147-152)
            ผมจะเล่าประสบการณ์ประวัติศาสตร์เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับเพื่อนชาวญี่ปุ่นของผมให้ฟังเป็นตัวอย่างนะครับ  ชินอิชิโร  เทรายามา   เป็นผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่งของสมาคมการแพทย์องค์รวมแห่งประเทศญี่ปุ่น(Japan Holistic Medical Society)  ผู้เอาชีวิตรอดจากมะเร็งมาได้  โดยการศึกษาแล้ว  ชินเป็นนักฟิสิกส์และเป็นที่ปรึกษาด้านการบริหาร  ปัจจุบัน ในวัย 58 ปี  ชินมีสุขภาพยอดเยี่ยม  เป็นผู้ก่อตั้งเครือข่ายความร่วมมือด้านการแพทย์องค์รวมระดับนานาชาติ  เป็นที่ปรึกษาของผู้ป่วย  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคมะเร็ง  และยังเป็นนักเชลโล ที่ฝีมือดีมากคนหนึ่งด้วย  ถ้าดูจากรูปถ่ายของเขาเมื่อสักสิบปีก่อน  ผมคงไม่ชอบเขาอย่างวันนี้ ก่อนที่แพทย์จะวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง  เขาดูหดหู่  ไม่น่าคบหาเลย  ไม่เหมือนกับปัจจุบันที่เป็นชายผู้อบอุ่น อ่อนโยน  และมีจิตใจแจ่มใสเบิกบานด้วยความ หลุดพ้น
            เมื่อก่อน  ชินเป็นคนบ้างาน  พร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมง  นอนน้อย  ดื่มกาแฟหนักถึงวันละ10-20 ถ้วย  โปรดปรานสเต๊กเนื้อและของหวาน  ไม่มีเวลาแม้แต่จะฟังดนตรีบ้าง
            เมื่อฤดูใบไม้ร่วงปี 1983  ชินเป็นไข้นานถึง เดือน  จนนั่งหรือยืนไม่ติดเลย  แต่แพทย์ก็ไม่พบว่ามีอะไรผิดปกติ  เดิมทีนั้นชินเป็นคนที่เชื่อมั่นในการแพทย์แผนปัจจุบัน  และวิธีของโรงพยาบาลอย่างเต็มร้อย หลังจากนั้นอีกไม่กี่เดือน  ชินปัสสาวะมีเลือดปนออกมาและอ่อนเพลียมาก  เพื่อนคนหนึ่งของเขาเป็นแพทย์แผนตะวันออกที่บำบัดในเชิงแมคโครไบโอติกส์  ได้ลองสังเกตและฝังเข็มดู  แล้ววินิจฉัยว่าคงมีอะไรผิดปกติที่ใดของเขาเป็นแน่  เพื่อนแนะนำให้เขาเลิกกินอาหารแบบเดิมๆให้สิ้นเชิง  แต่ชินไม่ได้ทำตาม  เพราะแพทย์แผนปัจจุบันก็บอกว่าเขาเป็นปกติดี
            ถึงต้นฤดูใบไม้ร่วงปี  1984  ชินก็อ่อนแรงลงเรื่อยๆ จนทำงานต่อไปไม่ได้  อยากแต่จะนอนอย่างเดียว  จึงเข้าไปขอตรวจร่างกายเพิ่มเติม    คราวนี้แพทย์บอกว่าชินมีก้อนในท้อง   และเมื่อแพทย์สั่งตรวจโดยวิธีโซโน-
แกรม (การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง) ก็พบว่าไตข้างขวาของชินมีขนาดใหญ่กว่าปกติถึง 30 เปอร์เซ็นต์ แต่ชินก็ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะทำอะไร  จนเมื่อภรรยาและแพทย์เจ้าของไข้ช่วยกันหว่านล้อมให้เขาเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง  คราวนี้แพทย์เอกซเรย์พบว่าที่ไตของเขามีเนื้องอกขนาดใหญ่  แพทย์จึงพยายามกดดันให้เขายินยอมให้ตัดไตข้างนั้นออก  เมื่อชินถามว่าก้อนเนื้อดังกล่าวเป็นเนื้อร้ายหรือเปล่า  แพทย์ใช้คำว่า  ก็ก้ำกึ่ง ซึ่งความจริงก็คือมะเร็งในไตนั่นเอง  ที่ร้ายก็คือมันลามไปที่ปอดของเขาแล้ว
            ธรรมเนียมอย่างหนึ่งของแพทย์ญี่ปุ่นคือ  มักจะไม่แจ้งให้ผู้ป่วยทราบว่าเป็นมะเร็ง  เพราะเห็นว่าจะทำให้ผู้ป่วยคิดมากหรือรันทดใจ  แพทย์ของชินก็เช่นกัน  หลังผ่าตัดแล้ว  แพทย์เจ้าของไข้แจ้งว่าจะให้ยาฉีดป้องกันอาการแทรกซ้อน  1  ชุด  ซึ่งอันที่จริงยาตัวนั้นคือยา คิสพลาทินัม (cisplatinum)  ซึ่งเป็นเคมีบำบัดมะเร็งอย่างแรงตัวหนึ่ง  ชินไม่รู้ตัวเลยว่ายาที่ว่านั้นจะทำให้เขาอาเจียนรุนแรง  เคราและผมก็หงอกและร่วงไปมากมาย  ชิน
-    2    -
จึงไม่ยอมรับยาให้ครบชุด  แพทย์จึงเปลี่ยนวิธีให้เขารับการฉายรังสีเข้าที่บริเวณไต  ซึ่งชินบอกว่าการรับรังสีนั้นเหมือนกับตาก แดดเทียม  หลังจากรับรังสีได้ไม่กี่ครั้ง  เขาก็เพลียยิ่งกว่าเดิม  ได้แต่นอนแบ็บอยู่บนเตียงทั้งวันทั้งคืน  ตกคืนหนึ่งเขาก็ฝันว่ายืนอยู่หน้าหลุมศพของตัวเอง  ชินรู้ตัวแล้วว่าเขาป่วยหนัก  ซึ่งอาจถึงตายได้  ซ้ำร้ายแพทย์ยังปิดบังอยู่ตลอดว่าเขาไม่เป็นอะไรมาก  ถึงตอนนี้ชินมีอาการประหลาดคือ  จมูกไวเกินปกติ
            ผมอยู่ตึกคนไข้บนชั้นสอง  เขาเล่า  แต่ผมได้กลิ่นเขาปรุงอาหารในครัวที่ชั้น 4  ได้กลิ่นกายพยาบาลทุกคน  ที่ร้ายคือ  ผมได้กลิ่นจากผู้ป่วยทั้งหกคนที่อยู่ร่วมห้องโถงเดียวกัน  ผมได้กลิ่นความตายจนทนอยู่ต่อไปไม่ได้  ชินรอจนค่ำลง  แล้วลอบลุกออกไปจากห้องผู้ป่วย  ค่อยเดินตามกลิ่นไปจนถึงดาดฟ้าของตึกคนป่วย  ซึ่งเป็นที่เดียวที่เขาได้กลิ่นอากาศที่สะอาดสดชื่น  จึงสูดเข้าไปเต็มปอด  ในเวลาเดียวกัน เมื่อพยาบาลรู้ตัวว่าชินหายไป  จึงเปิดสัญญาณฉุกเฉิน  เมื่อทีมค้นหาไปเจอตัวเขาอยู่บนดาดฟ้า  ทุกคนสำคัญผิดว่าเขากำลังจะฆ่าตัวตาย  และกำลังจะทำให้โรงพยาบาลเสื่อมเสียชื่อเสียง  จึงพากันรวบตัวเขาลงมาจากดาดฟ้า
            รุ่งขึ้น  แพทย์เจ้าของไข้ตะคอกชินว่า  เมื่อคืนคุณก่อเรื่องเดือดร้อนนะ  ถ้ายังอยากอยู่ที่นี่ต่อไปก็ต้องทำตามกฎ  ไม่งั้นก็กลับไปอยู่บ้านได้เลย  ชินฟังคำหมอราวกับได้ยินเสียงดนตรี  ได้ทีรีบเผ่นออกจากโรงพยาบาลตรงกลับบ้านทันที  แล้วก็รีบไปพบแพทย์ที่บำบัดด้วยอาหารแบบแมคโครไบโอติกส์  ผู้ที่เคยขอให้เขาปฏิรูปเรื่องอาหารการกินเสียใหม่  โดยเริ่มจากกินข้าวกล้องอย่างเดียว 
            นึกภาพไม่ออกเลยจริงๆ  ชินเล่าให้ฟัง
            เช้าวันรุ่งขึ้น  ชินลืมตาขึ้นมาอย่างแปลกใจที่ตัวเขายังมีชีวิตอยู่  บรรยากาศยามเช้าสดใสแช่มชื่นเกินกว่าที่เขาจะนอนต่อไปได้  ชินอยากเห็นพระอาทิตย์เยี่ยมขอบฟ้าจนทนอยู่ไม่ไหว  ต้องไต่บันไดขึ้นไป  8  ชั้น จนถึงดาดฟ้าอพาร์ตเม้นท์ของเขา  ชินนั่งลงมองดูดวงอาทิตย์เยี่ยมพ้นขอบฟ้าของมหานครโตเกียว  ชินบังเกิดความรู้สึกที่ทำให้เขาต้องหลับตาสวดมนต์และนึกถึงคำสอนต่างๆของพระพุทธเจ้า  แสงแดดอ่อนอุ่นกำซาบเข้าสู่ทรวงอกของเขาให้เต็มซ่านด้วยพลังงาน
            ผมรู้สึกว่ากำลังจะมีเรื่องมหัศจรรย์เกิดขึ้น  ผมน้ำตาไหลเลย  เขาพูด  ผมซึ้งใจมากที่ยังรอดชีวิตอยู่  ดวงอาทิตย์เป็นเสมือนเทพของผม  พอขากลับลงมา  ผมเห็นคนในครอบครัวมีรัศมีเรืองรอง  ทุกคนเป็นเทพของผม
            ตั้งแต่นั้นจนหลายสัปดาห์ต่อมา  ชินปฏิรูปอาหารการกินใหม่หมด  และรักษาตัวอย่างเคร่งครัด กิจวัตรที่เขารอคอยคือ  การขึ้นไปรับแสงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณบนดาดฟ้า  อาการของเขายังไม่ถึงกับเป็นปกติคงที่นัก  แพทย์พยายามท้วงติงให้เขาเลิกกินอาหารแมคโครไบโอติกส์แล้วมารับเคมีบำบัดแบบกินทางปากอีกครั้ง  และบังคับให้เขากินเนื้อกินปลามากๆ ชินไม่ยอม  เขาไปลงทะเบียนเข้าบำบัดในสถานบำบัดแห่งใหม่ที่เพื่อนเขาเปิด
 
-    3    -
ขึ้นในเทือกเขาแอลป์ของญี่ปุ่น  ชินลงแช่น้ำพุร้อน  กินอาหารบำรุงจากธรรมชาติหลายขนาน  เขาพักผ่อนคลายเต็มที่  เดินออกกำลังไปตามป่าละเมาะเชิงเขา  และกลับมาเล่นเชลโลอีกครั้งหลังจากร้างราไปหลายปี
            อากาศบริสุทธิ์และน้ำสะอาดหล่อเลี้ยงชีวิตผมไว้  ชินระลึกความหลัง  ผมเริ่มรู้สึกถึงพลังธรรมชาติรอบกายและแม้แต่ในตัวผมเอง  ผมเริ่มสำนึกว่าต้นเหตุมะเร็งน่ะอยู่ที่ตัวผมเอง  ผมก่อมะเร็งให้ตัวเองด้วยการทำตัวผิดๆ  เมื่อรู้ตัวอย่างนี้แล้ว  ผมจึงต้องรักมะเร็งในตัวผม  เลิกย่ำยีบีฑาเหมือนกับมันเป็นศัตรูร้าย  มะเร็งอยู่ในตัวผม  ผมก็ต้องรักตัวเองอย่างที่เป็นอยู่นี่ละ
            ทุกวันนี้ชิน เทรายามา  มิได้เป็นเพียงชายผู้รอดชีวิตจากโรคมะเร็งเท่านั้น  แต่เขาเป็นคนใหม่  ผู้ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของตนเองอย่างสิ้นเชิง  เป็นคนใหม่ทั้งรูปลักษณ์  พฤติกรรม  และความรู้สึกนึกคิด  ผมว่าผม มีโชค  ที่ได้ปีนเขากับชิน  ทั้งในญี่ปุ่นและในอเมริกา  ได้นั่งแช่ในน้ำพุร้อนธรรมชาติ  ได้นั่งดื่มด่ำกับการแสดงตนตรี  ได้ฟังคำบรรยายของชิน  และได้ฟังเขาให้คำปรึกษาแก่ผู้ที่เริ่มรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งด้วย
            “คุณต้องยอมรับมะเร็งนะ  เขาแนะนำผู้ป่วยมะเร็ง  มันก็เป็นเสมือนของขวัญที่ชี้ทางสว่างให้คุณปรับปรุงชีวิตใหม่นั่นเอง
            แพทย์หลายคนคงไม่เห็นด้วยว่ากรณีของชินเป็น  การบำบัดโรคด้วยตนเอง หรอกครับ  เพราะจริงอยู่  ชินผ่านการรักษาครบถ้วน  ทั้งการผ่าตัด  ฉายรังสี  และเคมีบำบัด  และแม้ว่าเขาจะไม่ได้รับการรักษา  วิธีหลังจนครบวาระก็ตาม  มะเร็งที่ไตเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก  โดยเฉพาะเมื่อลามไปที่ปอดแล้ว  ผู้ป่วยที่จะรอดชีวิตไปได้ถึง  ปีมีเพียง เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น  แต่ก็เป็นหนึ่งในมะเร็งหลายชนิดที่สามารถทุเลาหรือหายไปได้เอง  เรื่องที่ผมประทับใจที่สุดคือ  การที่ชินเพียรขึ้นไปรับแสงอรุณบนดาดฟ้าทุกวัน  จนเกิดการแปรผันในระดับจิตวิญญาณ  เปรียบได้เป็นแสงอรุณที่แผ่ซ่านเข้าสู่ทรวงอกและร่างกายของเขา  และประทับใจในถ้อยคำที่ชินสรุปว่า
            “ผมจึงต้องรักมะเร็งในตัวผม  เลิกย่ำยีบีฑาเหมือนกับมันเป็นศัตรูร้าย
            นี่ละครับ  การยอมรับตัวตนอันแท้จริง  คนเราส่วนมากไม่ใคร่จะยอมรับหรือพอใจกับตัวเอง  แต่กลับวางตัวอยู่กับการเผชิญหน้าและเปรียบเทียบไม่รู้จบ  โดยตั้งเจตนาไว้เช่นนั้นเช่นนี้  แล้วพยายามจัดรูปการหรือสภาพต่างๆให้เป็นดังใจหวัง  เล่าจื๊อ มหาปราชญ์แห่งจีนโบราณได้เคยกล่าวไว้ว่า  ทัศนะเช่นนี้ห่างไกลจากปรัชญาการดำเนินชีวิตแบบเต๋าเสียยิ่งนัก  และผู้ที่ยึดติดกับความคิดนี้ย่อมมืดมน
            ดังสายน้ำลัดเลาะหลีกศิลากลางกระแส  จงน้อมรับเหตุการณ์อันพ้นวิสัย  มีคำกล่าวว่า  มีกำลังใจ ย่อมมีหนทาง  แต่จงปล่อยชีวิตไปตามครรลอง จนบั้นปลาย  กำลังใจนั้นหาใช่หนทางไม่  หากต้านครรลองแห่งชีวิต มันย่อมสิ้นลง
            การยอมรับ  จำนน  หรือจนมุม  ไม่ว่าคุณจะเลือกใช้คำใดก็ตาม  ทุกอย่างคือการเปลี่ยนจุดยืนในจิตใจ  ซึ่งบ่อยครั้งกลายเป็นกุญแจดอกสำคัญที่จะ ไข เข้าไปสู่การบำบัดโรคได้ครับ

ไม่มีความคิดเห็น: