29 สิงหาคม 2555

***ภาพสวยงาม*** National Geographic Photography Contest Winners: 2011








เครดิต : Dong

ภาพสวยงาม ทำวอลเปเปอร์









credit : Dong

อดีตอันรุ่งเรืองของลุงบาแดง



อดีตอันรุ่งเรืองของลุงบาแดง


โดย ธีระวัฒน์ อนันตวรสกุล
     ระหว่างนั่งรถสองแถวจากตัวอำเภอไพศาลี กลับสวนของแก ลุงแดงฆ่าเวลาด้วยการอ่านบทความในนิตยสารลี้ลับ เกี่ยวกับการระลึกชาติด้วยความสนใจ มันเป็นเรื่องของฝรั่งคนหนึ่งที่มาเที่ยวประเทศไทย ได้และเหยียบไปบนจุดที่ตนเองเคยสิ้นใจตาย และระลึกชาติได้ในฉับพลันทันใด ฝรั่งคนนั้นเล่าว่า เคยเกิดสมัยอยุธยา และถูกเกณฑ์ไปรบกับพม่า แต่เป็นไข้ป่าตายระหว่างทาง สมัยนั้น คิดอิจฉาฝรั่งที่เป็นที่ปรึกษาพระเจ้าแผ่นดิน มีความเป็นอยู่สุขสบาย มีคนนับหน้าถือตา พอตายไปเลยไปเกิดเป็นฝรั่ง ที่ต่างประเทศสมใจ.....
ไม่ทันอ่านจบดีก็ถึงที่หมายที่แกต้องลง แกคงต้องเดินต่อไปยังสวนของแก
ลุงแดงไม่มีลูก ส่วนเมียของลุงตายไปนานแล้ว เพราะถูกคนร้ายรุมฆ่าข่มขืนชิงทรัพย์ สร้างความเจ็บปวดเป็นแผลในใจแก เพราะ แม้แต่ กฎหมายบ้านเมืองก็ยังไม่อาจนำคนผิดมาลงโทษได้ แกจึงอยู่คนเดียว ครุ่นคิดก่นด่าเทวดาฟ้าดินว่าไม่เคยให้ความเป็นธรรมกับแก
พื้นเพแกไม่ใช่ชาวสวน แกเกิดที่พระโขนง กรุงเทพฯ ไม่เคยมีประสบการณ์ทำสวนมาก่อน แกเคยทำงานโรงงานแถวพระประแดง ตั้งแต่หนุ่มๆ อยู่ยี่สิบกว่าปี ก่อนมาขับสามล้อที่พระโขนง เพราะเบื่องานโรงงาน
ชื่อจริงของลุงแดง คือ บาแดง เป็นชื่อแปลกที่พระเขมรตั้งให้
เป็นโชคดีที่ที่ดินของแกนั้น แกซื้อมาได้ในราคาถูก เนื่องจากมีเสียงร่ำลือว่าผีดุหนักหนา แกก็อยู่มาหลายเดือน ที่เคยเจอก็แค่ตอนย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ แกฝันเห็นบรรดาผู้คนยุคโบราณ แต่งกายแปลกๆ มาร้องเรียกแกด้วยภาษาคล้ายกับภาษาเขมร
ลุงแดงนั้น แม้จะไม่มีเชื้อสายเขมร แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าแปลก ตอนที่ ลุงแดงทำงานที่โรงงานย่านพระประแดงนั้น ลุงแดงมีเพื่อนเป็นคนจากบุรีรัมย์คนหนึ่ง ลุงแดงเรียนภาษาเขมรจากเพื่อนผู้นั้นจนเป็นอย่างรวดเร็วจนเพื่อนชาวบุรีรัมย์ตกใจ นับเป็นเรื่องที่แปลกมาก
ในฝันคืนนั้น ผู้คนในฝันนั้นล้วนท่าทางน่ากลัว แต่ให้ความเคารพนบนอบต่อลุงแดงเป็นอย่างยิ่ง ล้วนหมอบนั่งอยู่ในที่ดินของแก บอกแกว่า รอแกมากว่าหนึ่งพันปีแล้ว ได้โปรดช่วยทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ทั้งหลายโดยไม่เจาะจง
ลุงแดงใส่บาตร ทำบุญ ตามสมควรแก่ฐานะไม่ขาด แล้วก็อุทิศส่วนบุญส่วนกุศล ไปให้วิญญาณคนโบราณเหล่านั้น
..........................
การเกษตรพอเพียง จำเป็นต้องขุดสระน้ำบนพื้นที่สามสิบเปอร์เซนต์ เพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ตลอดปี ลุงแดงในวัยห้าสิบปี ยังคงแข็งแรงกว่าคนวัยห้าสิบปีทั่วไป ค่อยๆ ขุดดินวันละนิดวันละหน่อย เหนื่อยก็หยุด
โชคดีเป็นของแกในวัยห้าสิบปี ในวันหนึ่งจอบของแกก็ขุดพบอะไรบางอย่าง เมื่อตรวจดู มันเป็นไหดินเผาเก่าโบราณมีพระเครื่องเนื้อดินบรรจุ ลุงแดงพอจะดูพระเครื่องเป็นอยู่บ้าง และรู้ว่าพระดินที่เขาพบเป็นพระเครื่องกรุศรีเทพ ที่มีการพบที่เมืองเก่าศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ ไหใบนั้นมีพระอยู่กว่าสามสิบองค์ มวลสาร เนื้อหา ความเก่า ตลอดจนตำหนิพิมพ์ ถูกต้องตรงตามลักษณะของพระศรีเทพที่ได้รับความนิยมในวงการพระเครื่อง ซึ่งในวงการได้กำหนดราคาเช่าหาพระกรุศรีเทพกันถึงหลักแสนบาท
ชีวิตสงบของแก จึงมีเรื่องสนุกอีกครั้ง
ลุงแดงวางแผนค่อยๆ ปล่อยพระทีละองค์ เพื่อนำเงินมาใช้จ่ายตามความจำเป็น และนำเงินมาทำบุญให้บรรดาวิญญาณคนโบราณที่อาจช่วยเหลือประทานพระเครื่องเหล่านั้นมาให้แก ลุงแดงรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ควรเอิกเกริกแพร่งพรายข่าว เพราะหากมีใครรู้เข้าอาจจะถูกปล้นได้
พระองค์แรกถูกปล่อยออกไป เขาเข้าไปปล่อยพระในกรุงเทพฯ ด้วยตนเอง ได้เงินมาแล้วก็ยังทำตัวเป็นปกติ
แกคิดจะจ้างรถแบล็คโฮล์มาขุด แต่เปลี่ยนใจเพราะกลัวว่าหากเจอพระเครื่องเพิ่มจะเป็นเรื่องราวใหญ่โต
ขณะที่ขุดสระน้ำด้วยแรงกายนั้น ลุงแดงนั่งคิดเล่นๆ ไปว่า คนโบราณนี่ต้องเหนื่อยยากขนาดไหนที่จะขุดสระน้ำกว้างใหญ่ แกเคยไปชมโบราณสถานเมืองศรีมโหสถ ที่ปราจีนบุรี พบบาราย แหล่งน้ำใหญ่ที่ขุดด้วยมือคน โดยไร้เครื่องจักรทุ่นแรง
เมื่อมีเงินพร้อมแล้ว วันหนึ่งแกตัดสินใจนิมนต์พระเพื่อถวายภัตตาหารเพลทั้งวัด ซึ่งมีพระทั้งหมดเก้ารูป พร้อมอุทิศส่วนกุศลให้บรรดาคนโบราณเหล่านั้น ลุงแดงได้พบกับหลวงตาแก่ๆ รูปหนึ่ง ท่านมีร่างกายใหญ่โตอย่างคนโบราณ หลวงตามองลุงแดง ลุงแดงคล้ายกับว่าเคยรู้จักคุ้นเคยกันมาก่อนแต่จำไม่ได้ว่าที่ไหน
ลุงแดงพยายามหาข้อมูลเรื่องหลวงตาชรารูปนั้น ทราบแต่ว่า ท่านเป็นเพียงพระลูกวัดที่ชราแต่มีวิทยาคมสูงส่ง เคยธุดงค์ไปถึงเขมร พม่า ลาว ท่านปลูกกุฏิแยกอยู่ท้ายวัดติดกับป่าช้า ปฏิบัติอยู่ในพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัดยิ่ง แม้ท่านจะมีวิทยาคมสูงส่งเพียงใด แต่ท่านก็ไม่นิยมติดต่อกับหมู่คณะ เคยมีคนมาลองของลองวิชากับท่านมากมาย แต่สุดท้ายก็ศิโรราบหมอบกราบกลับไปสิ้น
มีครั้งหนึ่ง มีเสือโคร่งดุร้ายหลงเข้ามาในหมู่บ้าน ท่านสามารถเรียกและสั่งให้มันเชื่องเป็นแมว จนจับใส่รถเพื่อไปปล่อยคืนในป่าได้ เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ท่านได้รับความเคารพจากชาวบ้าน แต่ท่านก็ยังไม่สุงสิงกับใคร ไม่แจกเครื่องรางของขลัง สั่งสอนแต่เพียงว่าให้รักษาศีลทำความดี ชาวบ้านเรียกท่านว่า หลวงพ่อปราบเสือ
ลุงแดง กราบท่านอย่างศรัทธา ท่านพูดกับลุงแดงเป็นภาษาเขมร เพียงสั้นๆ ว่าให้ลุงแดงเดินทางไปศรีชัยวชิรปุระ
เขารู้สึกคุ้นๆ กับคำนี้ คำที่มีพลัง เหมือนเคยเป็นเป้าหมายหนึ่งในชีวิตของลุงมานานแสนนาน
.................
เศรษฐีเงินล้านหากนับรวมพระเครื่องล้ำค่าที่ครอบครอง ยังคงใส่เสื้อปะขาด นั่งรถสองแถวอย่างซอมซ่อ ความบังเอิญดลให้เขาพบกับ นักศึกษาวิชาโบราณคดีที่จับกลุ่มกันมาศึกษาแหล่งโบราณคดีที่เมืองไพศาลี ลุงแดงใจดีเลี้ยงข้าวกลางวันเด็กๆ เหล่านั้น และได้รู้ว่าศรีชัยวชิรปุระ เป็นชื่อที่ขอมเรียกเมืองที่เป็นเขตจังหวัดเพชรบุรีในปัจจุบัน และที่นั่นยังมีวัดพระศรีมหาธาตุที่มีลักษณะเป็นปรางค์แบบศิลปะขอมอยู่
เมื่อพันปีที่แล้ว ขอมเรืองอำนาจ อิทธิพลของขอมแผ่ขยายมาถึงอาณาจักรในที่ราบลุ่มภาคกลางของประเทศไทยในปัจจุบัน
.........................
ลุงแดงเดินทางอย่างเดียวดายไปเที่ยวจังหวัดเพชรบุรี และได้ไปที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดเพชรบุรี พิศมองสถาปัตยกรรมขอมโบราณที่ยังเหลือเค้าแม้ลางเลือน จากนั้นก็ออกเดินทางไปที่หาดเจ้าสำราญ
ณ มุมสงบริมทะเล ลุงแดงนั่งนิ่งพักผ่อนมองทะเล  แล้วประสบการณ์ประหลาด ก็ได้บังเกิดกับลุงแดง
ลุงแดงรู้ขึ้นมาทันทีว่า จุดที่เขานั่งอยู่นี่เป็นจุดเขาได้จบชีวิตในอดีตชาติชาติหนึ่ง ณ จุดๆ นี้ ร่างกายในชาติเก่าของแก ย่อยสลายเป็นผุยผงไปหมดแล้ว แต่ความทรงจำจากชาตินั้นปรากฎชัดขึ้น แจ่มแจ้งชัดเจนจนน่าประหลาดใจ เหมือนเรื่องที่แกเคยได้อ่านพบจากนิตยสารประเภทเรื่องเร้นลับไม่นานนี้
เขาทบทวนความทรงจำเหล่านั้น ตลอดเส้นทางที่เดินทางกลับไพศาลี
.......................
ความทรงจำชาติเก่าของเขามีว่า เมื่อประมาณพันปีที่แล้ว เขาเป็นข้าราชการในราชสำนักเขมร ดำรงค์ตำแหน่ง พญาบาแดง หรือ ผู้ส่งสารระดับหัวหน้า ในเมืองพระบาแดง เมืองปากอ่าวชายทะเล ของราชอาณาจักรขอมโบราณ (ปัจจุบันตั้งอยู่ที่เขตพระโขนง กรุงเทพฯ)
ในเวลานั้น ปากอ่าวไทยมีปัญหาตรงข้ามกับปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง คือ ตะกอนดินในแม่น้ำพอกพูน ถมทะเลลงไปเรื่อยๆ ก่อให้เกิดแผ่นดินใหม่ ยื่นลงไปในทะเลมากขึ้นๆ จนจำเป็นต้องมีการย้ายเมืองปากอ่าวใหม่ จาก พระบาแดงเดิม ไปอยู่ใกล้ทะเลมากขึ้นที่เมือง พระบาแดงใหม่ (ปัจจุบันคือ อำเภอพระประแดง)
เหตุการณ์ในห้วงเวลานั้น ผิดกับปัจจุบัน ที่น้ำทะเลกัดเซาะรุกแผ่นดินจากภาวะโลกร้อน จนพื้นที่หายไปหลายร้อยไร่แล้วในขณะนี้
เมืองพระบาแดงเป็นเมืองสำคัญปากอ่าว ต้องส่งข่าวการศึกไป ละโว้ หรือ ลวปุระ (ลพบุรี) เป็นเมืองที่คอยเฝ้าระวังทางทะเล
หลังจากงานใหญ่ย้ายเมือง เขาได้รับการแต่งตั้งให้ไปทำราชการที่ เมืองอภัยสาลี (อำเภอไพศาลี ในปัจจุบัน) และเขาได้รับมอบหมายงาน ให้ไปรวบรวมของป่าหาสมุนไพรที่ป่าในเขต เมืองศรีชัยสิงหปุระ (บริเวณปราสาทเมืองสิงห์ จังหวัดกาญจนบุรี) และ ศรีชัยวชิระปุระ (เมืองเพชรบุรี) เพื่อรวบรวมส่งไปยังราชสำนักขอม ที่ตั้งราชธานีอยู่ ณ กรุงศรียโสธรปุระ (นครวัด นครธม)
ความผูกผันกับเมือง พระบาแดงเก่า (ที่พระโขนง กรุงเทพฯ) และ เมืองพระบาแดงที่ย้ายไปใกล้ปากอ่าว (ที่อำเภอพระประแดง สมุทรปราการ) ลุงแดงภูมิใจกับการย้ายเมืองที่เขามีส่วนสำคัญส่วนหนึ่ง และยังคงผูกพันกับ พระบาแดงเก่า (พระโขนง) และทำงาน พระบาแดงใหม่ (พระประแดง) แม้ว่า ภายหลังจะได้แต่งตั้งให้ทำราชการที่ นครอภัยสาลีก็ตาม จึงยังคงไปเกิดที่พระโขนง ไปทำงานที่พระประแดง
ที่น่าสลดใจที่สุด คือ ชาติเก่าของเขานั้น เขาร่ำรวยมีทรัพย์สมบัติมากมาย และที่ดินบริเวณที่เขาซื้อนั้นเคยเป็นของเขามาแล้ว เป็นไร่นาพระราชทานมีอาณาเขตกว้างขวางใหญ่โต นอกเขตนครอภัยสาลี ทางผ่านไปเมืองศรีเทพ
หนึ่งพันปีผ่านไป ที่ดินอยู่ที่เดิมแต่เขาอยู่ในภพชาติใหม่ เขาต้องใช้เงินเก็บของเขาทั้งชีวิต ซื้อที่ดินที่เคยเป็นของเขาหรือนี่ เขาเสียเงินไปทั้งหมดเพื่อจะกลับมาที่นี่ หากเขายังครองหนังสือราชโองการแห่งกษัตริย์ขอม และนำไปอ้างกับสำนักงานที่ดิน ก็ถูกคนหัวเราะเยาะเป็นแน่
สมัยหนึ่งพันปีที่แล้ว บริเวณบ้านของเขาติดลำน้ำใหญ่ มีเรือสินค้าขึ้นล่อง แต่ปัจจุบันตื้นเขินไปหมดแล้ว เนื่องจากลำน้ำเปลี่ยนทิศทางไปตามกาลเวลา ลำน้ำใหญ่หายไปไม่เหลือเค้าแม้ลำธาร เหมือนความยิ่งใหญ่ในอดีตชาติของเขา
แต่สิ่งที่เขาจำได้ คือ ทรัพย์สมบัติสุดหวงแหนที่เป็นเครื่องทองพระราชทานจำนวนหนึ่งหีบยังซ่อนอยู่ที่นี่ ในที่ดินของเขานี่เอง
เขาได้กลับมาแล้ว นครอภัยสาลี ที่ปัจจุบันกลายเป็น เมืองไพศาลี
แผนการขุดสระของลุงแดงเปลี่ยนไปจากจุดเดิม แผนจะไม่เปลี่ยนเลยถ้าเขาไม่ไปที่ ศรีชัยวชิรปุระ
ลุงแดงดำเนินการขุดกรุสมบัติของเขาต่อไปทีละน้อยๆ ไม่เปิดเผยให้ใครทราบ ลุงแดงครุ่นคิดว่า จะทำอย่างไรกับสิ่งของเหล่านั้น หากพบเจอมันอีกครั้ง ปัจจุบันมันเป็นโบราณวัตถุศิลปะขอม อายุนับหนึ่งพันปีที่มีค่าประมาณไม่ได้ หากล่วงรู้ถึงเจ้าหน้าที่ราชการคงถูกยึดเป็นสมบัติของแผ่นดิน แม้แต่ของที่เคยเป็นของตัว อาจไม่ใช่ของตัวอีกต่อไป
จอบอันน้อยของเขาแตะกับแนวอิฐ ด้านบนของฐานกรุแล้ว ในจังหวะเดียวกันนั้น หลวงพ่อปราบเสือ ก็ปรากฏตัวที่ปากหลุม
หากไม่มีหลวงพ่อ เขาคงไม่ได้ไปศรีชัยวชิรปุระ จอบของเขาอาจไม่มีวันได้แตะแนวอิฐตรงนั้น
ลุงแดงพักงาน กลบดินไว้พออำพรางไม่ให้ใครเห็นแนวอิฐ แล้วขึ้นไปสนทนากับหลวงพ่อเป็นภาษาขอมโบราณ
หลวงพ่อกล่าว ตัวท่านผูกพันกับอาณาจักรขอมโบราณหลายภพชาติ ชาติหนึ่งท่านเป็นถึง ข้าราชการที่รับผิดชอบการสร้างราชมรรคาจากปราสาทหินนครวัด ผ่านไปถึงปราสาทหินพิมาย เส้นทางที่เคยงดงามรุ่งเรืองมีปราสาทหินน้อยใหญ่มากมาย มีบาราย (อ่างเก็บน้ำ) และ อโรคยาสาท (โรงพยาบาล) ในชาตินี้ เมื่อได้ธุดงค์ไปดูผลงานในอดีต ที่เหลือเพียงซากก็สลดใจ ความยิ่งใหญ่แห่งราชอาณาจักรขอมโบราณ เหลือเพียงซากปราสาทหินที่เสื่อมสลายไปตามกฎของไตรลักษณ์
สิ่งที่เหลืออยู่ในตัวของท่าน คือ "กุศล" อันเกิดจากจิตที่อนุโมทนากับเจ้าเหนือหัว สมเด็จพระเจ้าชัยวรมันที่เจ็ดที่มุ่งสร้างอโรคยาสาท (โรงพยาบาล) และ บาราย (อ่างเก็บน้ำ) ไว้ทั่วแว่นแคว้น เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขของอาณาประชาราษฎร์และท่านหลวงพ่อในอดีตชาตินั้นได้ตอบสนองพระบรมราชโองการ ทุ่มเทฝีมือแรงกายแรงใจ บรรจงสร้างทำในส่วนที่ท่านรับผิดชอบอย่างดียิ่ง
ลุงแดงตอบขึ้นบ้าง ส่วนกระผมก็เป็นถึงพญาบาแดงคนส่งสารใหญ่ มีบริวารมากมาย แต่ชาติปัจจุบัน กลายเป็นคนหาเช้ากินค่ำ อดๆ อยากๆ ลำบากยากเข็ญมากว่าครึ่งชีวิต ทรัพย์สมบัติมากมายในอดีตไม่อาจนำข้ามภพข้ามชาติมาจุนเจือชีวิตได้เลย ปัจจุบันหากไม่พบหลวงพ่อชี้แนะก็คงไม่รู้อะไร
หลวงพ่อกล่าวต่อไปแปลได้ว่า ขุดลงไปดูสิ ในกรุนั่นมีอะไร
ลุงแดงขุดต่อลงไป และพบว่า ทรัพย์สมบัติที่เป็นเครื่องทองหนึ่งหีบไม่ได้มีอยู่ดังความทรงจำชาติเก่า ขุดเท่าไรก็เจอแต่กองอิฐ นอกเหนือจากนั้น เขาพบไหพระเครื่องเนื้อดินใส่พระกรุศรีเทพอีกห้าไห
หลวงพ่อกล่าวต่อไป เครื่องทองหายไปหมดแล้ว หายไปตั้งแต่ สมัยกรุงศรีอยุธยา หลังอาณาจักรเขมรเสื่อมอำนาจ เมืองอภัยสาลีถูกทิ้งร้างจนถึงสมัยอยุธยา มีการฟื้นฟูเมืองอภัยสาลีขึ้นมาอีกครั้ง มีผู้เรืองวิทยาอาคมเปิดกรุนี้ได้โดยเอาชนะบรรดาวิญญาณข้าทาสบริวารที่เฝ้าปกปักรักษา เมื่อสมบัติถูกพบขึ้นมา กลิ่นคาวเลือดและความตายก็ได้คละคลุ้ง ณ ที่ดินแห่งนี้ เนื่องจากมีการฆ่าปิดปาก และฆ่ากันตายโดยการแบ่งผลประโยชน์ไม่ลงตัว สุดท้ายทรัพย์สินอันมีค่าต่างๆ ก็กระจัดกระจายไป วิญญาณบางดวงยึดติดหวงแหน ติดตามสมบัติบางชิ้น เพราะถูกฆ่าตายในขณะที่กอดสมบัติชิ้นนั้นไว้แน่น
ลุงแดงกล่าวแทรกขึ้น "เหมือนที่กระผมยึดติดความสำเร็จในการย้าย เมืองพระบาแดง ยุคแผ่นดินงอกลงทะเล และไปเกิดที่นั่น ย่านนั้น"
หลวงพ่อเล่าต่อไปว่า ได้พบโถทองคำใบที่เมื่อครั้งหนึ่งพันปีที่แล้วที่เคยอยู่ในกรุนี้ที่พม่า โถทองคำที่มีวิญญาณเกาะติดสร้างอาถรรพ์แก่ผู้ครอบครอง หลวงพ่อได้กล่อมเกลาวิญญาณหลงผิดให้ลดทิฏฐิยอมไปผุดไปเกิด โถทองใบนั้นเป็นสมบัติของวัด แต่สุดท้ายถูกขโมยออกไปขายในตลาดมืด จนสุดท้ายถูกประมูลซื้อไปอยู่ที่เมืองฝรั่งแล้ว
จากราชอาณาจักรขอมมาอยู่ที่กรุนี้ จากนั้นถูกย้ายไปอยุธยา เมื่ออยุธยาสิ้น ทรัพย์สมบัติก็ถูกนำไปที่พม่า บางส่วนถูกหลอมบางส่วนตกทอดไปเปลี่ยนมือ ไกลสุดไปถึงเมืองฝรั่งแดนไกลอยู่ในพิพิธภัณฑ์อย่างที่เล่า
ไม่มีอะไรยั่งยืนจีรัง ในโลกที่เปลี่ยนแปลงนี้ ไม่มีอะไรนำติดตัวข้ามภพชาติไปได้ เว้นแต่ความดีที่เคยสร้างทำอย่างตั้งใจเท่านั้น
สิ้นคำว่า ความดีที่เคยสร้างทำอย่างตั้งใจ
ในอีกมิติหนึ่งนั้น วิญญาณคนโบราณที่รายล้อมฟังหลวงพ่อเล่าเรื่องมาตลอด กลับคลายทิฏฐิมานะ น้อมใจรำลึกถึงกรรมเก่าที่เคยเหนื่อยยากทำงานสร้างอโรคยาสาท และ ขุดบาราย สร้างสะพาน ตามราชบัญชาแห่งองค์สมเด็จเหนือหัวชัยวรมันที่เจ็ด ในยุคที่ไม่มีเครื่องจักรกลผ่อนแรงซึ่งลำบากกว่าในปัจจุบันมากมายนัก กลายรูปทิพย์จากภูติผีปีศาจที่น่ากลัว เป็นเทวดานางฟ้าที่มีอาภรณ์อันงดงาม เพราะความยึดมั่นถือมั่นทำให้พวกเขาเฝ้าสถานที่แห่งนี้มานับพันปี
"แล้วพระดินห้าไหนี้หละครับ ทำไมยังอยู่ไม่มีใครเอาไป" ลุงแดงถามพลางมอง
ลุงแดงมองพระห้าไห รวมที่แกพบก่อนหน้า แกมีพระล้ำค่าถึงหกไห พระเครื่องที่เมื่อชาติเก่าก่อน ตนวางแผนจะนำไปบรรจุกรุเพื่อสืบพระศานาตามค่านิยมในยุคนั้น
หลวงพ่อเล่าต่อไป ค่านิยมสมัยโบราณของชาวอยุธยา ถือว่า พระเครื่องเป็นของสูงยิ่งไม่บังควรที่จะอัญเชิญไว้ในเคหะสถานของฆราวาสผู้ครองเรือนอยู่อาศัย อันมีกิจกรรมกามสังวาสอยู่เนืองนิจจึงไม่มีใครสนใจ แม้พระที่สร้างแจกทหารในสมัยอยุธยา พออาราธนาติดตัวไปรบกลับมา เสร็จสิ้นศึกงานราชการสงคราม ก็นำมารวมๆ กันไว้ที่วัดไม่นำเข้าบ้าน
ผิดแผกแตกต่างกับค่านิยมสมัยใหม่ ที่ยึดถือรูปพระพุทธบนก้อนดินเหล่านี้ เป็นของศักดิ์สิทธิ์ล้ำค่ามีราคาเรือนแสน ที่มีน้อยเช่าหากันถึงหลักล้าน นำมาห้อยคอโดยคิดว่าเป็นมงคลแก่ชีวิต โดยลืมนึกถึง ศีลธรรม การกระทำแท้ที่จริง พระเครื่องเหล่านี้เป็นเพียงพุทธานุสติ เครื่องเตือนให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้าผู้ทรงคุณอันประเสริฐ ชี้ทางออกจากวัฎสงสารที่ไม่รู้จบสิ้น
ที่ดิน ทรัพย์สมบัติต่างๆ ล้วนเป็นของที่ไม่เคยเป็นของใครจริงจัง แม้ร่างกายนั้นก็ไม่ใช่ของของเรา เพียงแต่เรายืมมาใช้สร้างความดีเท่านั้น
...............................
พระเครื่องสกุลช่างศรีเทพที่มีสภาพสมบูรณ์สวยงาม เข้าสู่ตลาดในวงการ ปีละประมาณเก้าถึงสิบองค์ จากแหล่งที่ไม่ทราบที่มา แต่เซียนพระที่ไหน ดูก็รู้ว่า เป็นพระแท้แน่นอน
...............
ชายวัยห้าสิบเศษ ในชุดเสื้อปะขาดมอซอ ยังคงสนุกสนานและมีความสุขกับการทำบุญตามใจคิด แต่กลับไม่ชอบเปิดเผยตัวให้ใครทราบ เขาทราบว่าทรัพย์สินมีค่าไม่สามารถนำติดตัวไปภพชาติหน้าได้เลย เขาเคยผิดพลาดมาแล้วเมื่อภพชาติเก่า และจะไม่ยอมผิดพลาดอีกเป็นอันขาดในภพชาตินี้
..............
คงเป็นกรรมเก่าของลุงบาแดง มีคนในสนามพระคนหนึ่ง สงสัยถึงพระเครื่องของแกจึงสะกดรอยตาม จนรู้แน่ชัดว่าแกอยู่ที่ไหนและเฝ้าลงมือชิงทรัพย์อยู่ จนในที่สุดก็ได้โอกาสลงมือ ขณะที่ลุงทำสวนอยู่คนเดียว ลุงบาแดงถูกทำร้ายบาดเจ็บนอนโรงพยาบาลอยู่หลายวัน เมื่ออาการดีขึ้นจึงกลับบ้าน พบว่าทรัพย์สินตลอดจนพระเครื่องของแก ถูกมันเอาไปสิ้น
ลุงบาแดงกลับปลงตก เนื่องด้วยความทรงจำในชาติเก่าเมื่อครั้งเป็นพญาบาแดง เคยสั่งเฆี่ยนลูกน้องคนหนึ่งบาดเจ็บหลายวัน เท่ากับที่แกบาดเจ็บในครั้งนี้ และยึดทรัพย์ของลูกน้องคนนั้น ตลอดจนพรากเมียของมันมากระทำชำเราจนตายอย่างทรมานโดยปราศจากความผิด แกคิดว่ายังโชคดีที่มีชีวิตรอดมาได้ แกเลิกกร่นด่าเทวดาฟ้าดิน เพราะรู้ว่ามันเป็นกรรมเก่าของแกเอง ใครก็ช่วยไม่ได้ แกไม่คิดโทษใคร เพราะเข้าใจว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับแกเป็นสิ่งที่กฎแห่งกรรมตอบแทนแกอย่างสาสมแล้ว ไม่มากเกินไม่น้อยเกิน
เมียแกที่ตายไปเมื่อหลายปีก่อน ในอดีตชาติก็คือ ลูกน้องคนสนิทที่ก่อเวรร่วมกันมา ที่ต้องมาเกิดเป็นหญิงรับกรรมที่ตนเองได้ก่อขึ้นในครั้งกระนั้นอย่างเท่าเทียมกัน
ชายวัยห้าสิบเศษในชุดนุ่งขาวห่มขาว อาศัยวัดอยู่อย่างสงบ พากเพียรปฏิบัติธรรม หมายใจให้ ได้เข้าใกล้ทางพ้นทุกข์ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ด้วยเวลาที่เหลือน้อยลงเรื่อยๆ ในภพชาตินี้ ด้วยรู้แล้วว่า การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้ คือ ความทุกข์ล้วนๆ หาความสุขแท้จริงมิได้เลย

  
จาก เวปไซท์ธรรมะใกล้ตัว
เครดิต : Dong

ยื้อไว้ไม่ยอมตาย กับ มีชีวิตอยู่อย่างดี


ภาพในบรรทัด 1

 ในวันหนึ่งที่อากาศร้อนจัด มวลดอกไม้รอบบริเวณอารามเซนโดนแดดเผาจนเหี่ยวเฉา เมื่อเณรน้อยเห็นดังนั้น 
จึงกล่าวด้วยความตกใจว่า "แย่แล้ว ต้องรีบรดน้ำพวกมันสักหน่อย" จากนั้นจึงรีบยกถังไปตักน้ำตั้งท่าจะนำมารดต้นดอกไม้
       
       เมื่ออาจารย์เซนเห็นเหตุการณ์จึงกล่าวห้ามว่า "จงอย่ารีบร้อนไป ตอนนี้แสงแดดแรงมาก หากรดน้ำลงไป เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็น จะพาลให้ต้นดอกไม้ตายเป็นแน่ จงรอให้ถึงยามค่ำก่อนเถิดค่อยรดน้ำ"
       
       ยามค่ำ เหล่าดอกไม้ที่โดแดดมาทั้งวันล้วนแห้งเหี่ยว เณรน้อยจึงบ่นว่า "ไม่รีบรดน้ำให้เร็วกว่านี้ ตอนนี้ดอกไม้พวกนี้คงแห้งตายไปหมดแล้ว ต่อให้รดน้ำยังไงก็คงไม่ฟื้นขึ้นมาหรอก"
       
       อาจารย์เซนได้ยินจึงปรามว่า "อย่าพูดมาก รดน้ำไป!"
       
       เมื่อได้น้ำที่ชุ่มฉ่ำราดรดลงไป ไม่นานเหล่าดอกไม้ก็กลับมาชูช่อดังเดิม เณรน้อยเห็นดังนั้นจึงอุทานด้วยความยินดีว่า 
       "โอ้โฮ ดอกไม้เหล่านี้ช่างทนยิ่งนัก ยังสามารถยื้อไว้ไม่ยอมตาย"
       
       ทว่าอาจารย์เซนกล่าวแย้งว่า "เหลวไหล มิใช่ยื้อไว้ไม่ยอมตาย แต่เป็นการมีชีวิตอยู่อย่างดีต่างหาก"
       
       "แล้วมันต่างกันอย่างไร?" เณรน้อยถามด้วยความงุนงง
       
       อาจารย์เซนจึงกล่าวว่า "ย่อมต่างกัน เราถามเจ้า ปีนี้เราอายุ 80 กว่าแล้ว เรียกว่าเรายื้อไว้ไม่ยอมตาย หรือ มีชีวิตอยู่อย่างดี?"
       
       หลังจากเสร็จสิ้นการทำวัตรเย็น อาจารย์เซนเรียกเณรน้อยมาพบ ทั้งยังถามถึงเรื่องที่ค้างไว้ว่า "เป็นอย่างไร คิดออกแล้วหรือไม่?"
       
       "คิดไม่ออกครับ" เณรน้อยตอบ
       
       อาจารย์เซนจึงอธิบายว่า "เด็กโง่ ผู้ที่ตั้งแต่เช้าจรดเย็นเอาแต่กลัวความตาย ย่อมเรียกว่า ยื้อไว้ไม่ยอมตาย ส่วนผู้ที่มองไปข้างหน้าในทุกๆ วันจึงเรียกว่ามีชีวิตอยู่อย่างดี เมื่อมีโอกาสมีชีวิตอยู่ต่ออีกหนึ่งวันก็ต้องใช้มันให้ดีที่สุด ผู้ที่ยามมีชีวิตเอาแต่กลัวความตาย เอาแต่จุดธูปสวดมนต์ภาวนาเพื่อหวังว่าตายแล้วจะกลายเป็นพุทธะล้วนไม่มีทางเป็นพุทธะ" จากนั้นจึงกล่าวว่า " วันนี้มีชีวิตอยู่แล้ว แต่กลับไม่ตั้งใจใช้ชีวิตให้ดี เมื่อตายไปฟ้าก็คงไม่ประทานชีวิตที่ดีกว่ามาให้หรอก"

เครดิต : Dong

28 สิงหาคม 2555

ภาพขยับได้ เจ๋งมาก รีบกดดู

ชายเก็บขยะผู้ร่ำรวย


พลอยใจใส
     เสียงนาฬิกาปลุกดังกังวานไปทั่วห้อง ณภัทรงัวเงียลุกขึ้นจากเตียงด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้าเพื่อจัดการกับเสียงต้นเหตุนั้น แสงแดดอ่อนๆสาดทอลอดเข้ามาทางหน้าต่าง เสียงด้านนอกเริ่มจอแจ บ่งบอกถึงการเริ่มต้นต่อสู้ชีวิตของผู้คนชาวกรุง ชายหนุ่มมองเงาของตนเองในกระจก เขาเพิ่งตื่นนอนแต่ว่าขอบตานั้นมีรอยเขียวคล้ำเพราะกรำงานอยู่จนดึก ความเหนื่อยล้าทางด้านร่างกายนั้นหากได้มีเวลาพักอีกสักนิดก็คงหาย แต่ว่าความเหนื่อยใจของเขานั้นเปรียบเสมือนภาระอันหนักอึ้งที่เขารู้สึกว่าต้องแบกรับไว้ทั้งเวลานอนและเวลาตื่น ภาระหน้าที่การงานอันมากมายนั้นไม่เท่าไหร่ แต่เขากลับมีปัญหากับเพื่อนร่วมงานที่ต้องปะทะคารมกันแทบทุกวัน

     ณภัทรบิดกายขับไล่ความขี้เกียจออกไป คว้าผ้าเช็ดตัวมุ่งตรงไปยังห้องน้ำ อย่างน้อยการได้อาบน้ำอุ่นๆสบายๆ อาจทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายก่อนออกไปทำงานในเช้าวันนี้ แกร๊ก..แกร๊ก.. ดูเหมือนเจ้าเครื่องทำน้ำอุ่นตัวดีจะไม่ค่อยเป็นใจกับเขาสักเท่าไหร่ มันหยุดทำงานไปซะเฉยๆ ชายหนุ่มพยายามใช้ความอดทนกับมันอยู่เป็นเวลานานแต่ก็ไม่เป็นผล เขาจึงต้องทนอาบน้ำเย็นในเช้าวันนี้ ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาโอเปอเรเตอร์ของอพาร์ทเมนท์ด้วยหวังจะได้รับความช่วยเหลือ

     “ฮัลโหลผมโทรจากห้อง 
506 ครับเครื่องทำน้ำอุ่นห้องผมเสีย ช่วยส่งช่างมาดูหน่อยได้ไหมครับ” แต่ดูเหมือนปลายสายจะไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับเขาสักเท่าไหร่ 
     “เสียอีกแล้วเหรอ นี่คุณใช้ยังไงเนี่ยใช้เป็นหรือเปล่า เดือนนี้เสียกี่ครั้งแล้วเนี่ย” ชายหนุ่มพยายามสะกดกลั้นความโกรธไว้เต็มที่

    “ตั้งแต่ผมมาอยู่ก็เพิ่งเสียเป็นครั้งแรกเนี่ยแหละครับ ถ้ายังไงรบกวนส่งช่างมาดูด้วยนะครับ พอดีผมต้องออกไปทำงานแล้ว”

     ณภัทรรีบวางสายอย่างรวดเร็วด้วยเกรงว่าต่อมความโกรธจะระเบิดออกมาเสียก่อน มันคงไม่มีอะไรเลวร้ายไปซะทุกอย่างหรอกน่า ชายหนุ่มบอกกับตัวเอง ขณะออกจากลิฟท์เดินผ่านโอเปอเรเตอร์ของอพาร์ทเมนท์ ก็อดชำเลืองดูอย่างขุ่นเคืองไม่ได้

“ก็แน่ล่ะอ้วนเป็นตุ่ม หน้าก็เละเป็นศพ พูดจาก็ไม่เข้าหูอย่างนี้ จ้างให้ก็ไม่มีใครเอาหรอก” แสยะยิ้มอย่างดีใจที่ได้พึมพำกับตัวเอง 
ในชั่วโมงเร่งรีบอย่างนี้ณภัทรอดชำเลืองดูนาฬิกาเป็นพักๆไม่ได้ ด้วยเกรงจะไปทำงานสาย แต่การจราจรที่เป็นอัมพาตอย่างนี้เขาคงทำอะไรไปไม่ได้มากกว่าการรอเท่านั้น มือกุมพวงมาลัย เตรียมพร้อมรอสัญญาณไฟ ชายหนุ่มมองออกไปข้างถนนเห็นเด็กขายพวงมาลัยหน้าตามอมแมมตะโกนโหวกเหวกเรียกร้องความสนใจ ถัดออกไปอีกนิดตรงริมฟุตบาท ชายแก่อายุประมาณหกสิบกว่า กำลังตั้งหน้าตั้งตาคุ้ยกองขยะอย่างตั้งอกตั้งใจ ณภัทรเห็นแล้วก็รู้สึกสงสารแกมสมเพช งานเก็บขยะขายช่างเป็นงานที่ต่ำต้อยเสียเหลือเกินในสายตาเขา ทั้งเหม็นทั้งสกปรกเงินที่ได้จากการขายขยะเหล่านั้นจะได้ซักกี่สตางค์กันเชียว เทียบกับงานที่เขาทำไม่ได้เลย งานที่สบายใช้สมองอยู่ในห้องแอร์ ถึงแม้ว่าบางครั้งจะต้องชิงไหวชิงพริบกันกับเพื่อนร่วมงานบ้างก็ตามเถอะ

     ขณะที่ชายหนุ่มกำลังเพลิดเพลินกับความคิดของตัวเองอยู่นั้น “ปัง” เสียงดังมาจากทางด้านท้ายของรถ ชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัว รีบก้าวลงจากรถเพื่อสำรวจความเสียหาย รถญี่ปุ่นกึ่งเก่ากึ่งใหม่ของเขาตอนนี้ ท้ายยุบไฟท้ายแตกกระจาย ณภัทรรีบมองหาคู่กรณีใบหน้าเขาร้อนผ่าวมือสั่นระริก เจ้าของรถยุโรปค่อนข้างใหม่คันนั้นก้าวออกมาจากรถอย่างรวดเร็วเช่นกัน ใบหน้าซีดเผือดเมื่อมองเห็นคู่กรณีอีกฝ่ายจับจ้องราวจะฉีกเนื้อเขากิน

“ขอโทษครับ ขอโทษ ผมรีบจริงๆครับก็เลยไม่ทันระวัง” พูดพลางยกมือขึ้นไหว้ปะหลกๆ

“นี่นามบัตรของผมครับ ถ้ายังไงให้ทางประกันโทรมาเบอร์นี้ได้เลยนะครับ แต่ว่าตอนนี้ผมต้องขอตัวก่อน เพราะถ้าชักช้ากว่านี้จะไม่ทันการ” พูดจบชายหนุ่มวัยกลางคนนั้นก็รีบบึ่งรถจากไป ทิ้งให้ณภัทรมองตามอ้าปากหวอกึ่งงงกึ่งตกใจทำอะไรไม่ถูก

     ใช้เวลาร่วมชั่วโมงกว่าทางประกันภัยจะมาจัดการถ่ายรูปเซ็นเอกสาร และลากรถของเขาไปไว้ที่อู่ ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งอาทิตย์ถึงจะซ่อมเสร็จ กว่าณภัทรจะมาถึงที่ทำงานก็ปาเข้าไปเกือบสิบโมง แน่นอนที่เจ้านายของเขาต้องตาเขียว และเรียกเขาเข้าไปพบเป็นการส่วนตัวอย่างไม่ต้องสงสัย

“งานสัมมนาที่เชียงใหม่ ผมให้คุณปกรณ์ไป เป็นตัวแทนของบริษัทเราแทนคุณแล้วนะ” เหมือนฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ

“ครับ” คงไม่มีคำพูดใดแทนความรู้สึกของเขาได้ในตอนนี้

     นายปกรณ์คู่ปรับประจำออฟฟิศของเขา ได้เป็นตัวแทนบริษัทไปสัมมนาแทนเขา ทั้งๆที่เขาเตรียมตัวล่วงหน้าเกือบเดือนเพื่องานนี้ ตะกอนในใจของชายหนุ่มคละคลุ้งขุ่นมัวไปหมด เขารู้สึกว่าวันนี้เป็นวันมหาโลกาวินาศโดยแท้ เวลาทำงานแต่ละวินาทีกว่าจะผ่านไปมันช่างยากเย็นเหลือเกิน ในใจของเขารู้สึกหดหู่หนักอึ้งเหมือนมีคนเอาภูเขาหินทั้งลูกมาถ่วงไว้ ชายหนุ่มเอนตัวลงบนเก้าอี้อย่างช้าๆ หลับตาลงด้วยความรู้สึกหนักอึ้งเหนื่อยหน่าย


    หลังจากทนเบียดเสียดยัดเยียดกับผู้คนบนรถโดยสารประจำทางร่วมชั่วโมง ณภัทรก็มาถึงจุดหมาย เขาต้องเดินเท้าต่อประมาณห้าร้อยเมตรกว่าจะถึงอพาร์ทเมนท์ เวลาโพล้เพล้อย่างนี้ยังมีผู้คนพลุกพล่านอยู่ไม่น้อย ชายหนุ่มเดินทอดน่องอย่างช้าๆ ปล่อยให้ความคิดล่องลอยออกไป เช้านี้เครื่องทำน้ำอุ่นเสีย ต้องปะทะคารมกับยัยโอเปอเรเตอร์หน้าบูด ไม่รู้ตอนนี้จะส่งช่างไปซ่อมให้หรือยัง ไหนจะรถชนทำให้ไปทำงานสาย ไหนจะเรื่องงานที่คู่ปรับชิงตัดหน้าเขาไปก่อน พอคิดมาถึงตอนนี้ชายหนุ่มรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาอีกครั้งน้ำตาพาลจะไหลซะให้ได้

“ซวยจริงๆ” เขาสบถเบาๆ พลางแวะซื้อน้ำอัดลมจากร้านขายของชำข้างทาง

    ชายหนุ่มจิบน้ำไปเรื่อยๆ อีกกว่าสามร้อยเมตรกว่าจะถึงอพาร์ทเมนท์ของเขา พลันก็ได้กลิ่นตุๆลอยมาปะทะจมูก สายตาก็เหลือบไปเห็นต้นเหตุของกลิ่นนั้น ชายชรากำลังเก็บและคัดแยกขยะจากกองขยะขนาดย่อมอยู่ทางด้านหน้า “เป็นตาแก่คนเดียวกับที่เห็นเมื่อเช้านี่นา” เขาคิดในใจ พลางกระหยิ่มยิ้มย่องเดินเข้าไปทางด้านหลังของชายแก่คนนั้นอย่างอารมณ์ดี อาจมีอะไรสนุกแก้เครียดหากได้แกล้งชายแก่คนนี้

   “ลุง” ณภัทรเรียกชายแก่เสียงดังเกือบจะกลายเป็นตะโกน ผิดคาดชายแก่ไม่ได้มีอาการตกใจอย่างที่เขาคิด สายตาคู่นั้นกลับหันมามองเขาอย่างเป็นมิตร

“มีอะไรเหรอพ่อหนุ่ม” ชายหนุ่มหน้าเจื่อนนิดหน่อย พลางยื่นกระป๋องน้ำอัดลมที่อยู่ในมือให้กับชายแก่คนนั้น

“เอ่อ ไม่มีอะไรครับผมแค่คิดว่าจะเอากระป๋องให้ลุงเท่านั้น”

“เออ ขอบใจนะ”

“ลุงเก็บขยะขายอย่างนี้นานแล้วเหรอ”  เพราะใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้น ทำให้เขาอยากสนทนากับชายแก่คนนี้ต่อ

“ก็นานแล้วล่ะ คนแก่อย่างลุงไม่มีวิชาความรู้ก็ไม่รู้จะไปทำมาหากินอะไรน่ะ”

“แล้วลุงไม่มีลูกเหรอ” ชายชราละมือจากการค้นกองขยะนั้นขยับห่างออกมานิดหน่อยด้วยเห็นว่าชายหนุ่มเบื้องหน้าคงจะทนกับกลิ่นนั้นได้ไม่นาน

“โอย เขาก็แต่งงานมีครอบครัวแยกย้ายกันไปหมดแล้วล่ะ”

“แล้วลุงได้รายได้ต่อวันประมาณเท่าไหร่”  ณภัทรต่อบทสนทนาด้วยเห็นว่าชายแก่นั้นน่าสงสาร

“ไม่แน่หรอกพ่อหนุ่ม บางวันก็ได้มาก บางวันก็ได้น้อย แล้วแต่ว่าวันไหนจะมีคนทิ้งของมีค่าไว้เยอะมั้ยน่ะ”

“ของมีค่า....ขยะน่ะเหรอครับที่เป็นของมีค่า” ชายหนุ่มทำหน้างุนงงนิดหน่อย

“คนเดี๋ยวนี้ไม่รู้เป็นไรชอบทิ้งของมีค่า เก็บไว้แต่ของที่ใช้ประโยชน์ไม่ได้น่ะ รกเปล่าๆ” ชายแก่แสยะยิ้มเล็กน้อย แต่ว่าชายหนุ่มเบื้องหน้ากลับทำหน้ายุ่ง ไม่เข้าใจความหมายของชายแก่นั้น

“ถึงลุงจะยากจนเก็บขยะขายแต่ลุงก็รู้ว่าอะไรเป็นของมีค่าที่ต้องเก็บไว้ อะไรที่ไม่มีประโยชน์ต้องทิ้งไป ลุงเห็นมาเยอะละคนเราชอบเก็บเรื่องไม่เป็นเรื่องมาคิดให้รกสมองเปล่าๆ และมักจะหลงลืมอะไรที่ดีดีในตัวเองไปน่ะ ถึงจะเก็บขยะขายแต่ว่าลุงก็มีความสุขดีนะ ของบางอย่างถ้าเรามองมันให้ดีดีก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดหรอก”

    อาจเป็นเพียงแค่คำพูดเลื่อนลอยของชายแก่คนหนึ่ง แต่มันกลับเปิดปมบางอย่างในใจของชายหนุ่มที่ติดค้างมานาน ชายหนุ่มเดินจากมาทั้งๆที่ใจก็ยังครุ่นคิดกับคำพูดของคนเก็บขยะนั้น เรื่องบางเรื่องของบางอย่างก็เป็นเรื่องไร้สาระไม่มีประโยชน์ เราจะเก็บมาคิดทำไมให้รกสมองเปล่าๆนะ พลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกโล่ง เบาสบายอย่างบอกไม่ถูก

“คุณคะ” ชายหนุ่มชะงักฝีเท้าก่อนถึงลิฟท์

“คุณอยู่ห้อง 
506 ใช่มั้ยคะ” ชายหนุ่มพยักหน้าแทนคำตอบ

“เครื่องทำน้ำอุ่นของคุณช่างไปซ่อมแล้วนะคะ” ณภัทรมองตามโอเปอเรเตอร์ร่างตุ้ยนุ้ยนั้นไปอย่างไม่เชื่อสายตา บางครั้งตอนเช้าเธอคงงานยุ่งก็เลยพูดไม่ค่อยเข้าหูซักเท่าไหร่ ชายหนุ่มแอบอมยิ้มให้กับความคิดที่เปลี่ยนไปของตัวเอง


    ตอนเช้าณภัทรต้องโหนรถเมล์ไปทำงานกว่าจะถึงที่ทำงานก็เกือบแปดโมงแล้ว วันนี้เขารู้สึกว่าที่ทำงานดูแปลกตาอย่างบอกไม่ถูก ปัญหาต่างๆที่ค้างคาใจถูกปลดระวางไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว รู้สึกโล่ง เบาสบาย อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พอเจอหน้านายปกรณ์คู่ปรับ ความคิดเก่าๆก็ประดังเข้ามาอีก แต่ว่าเขาก็ตั้งสติรับได้ทัน เรื่องมันก็ผ่านมาแล้วอย่าเก็บมาคิดให้รกสมองเลย ชายหนุ่มบอกกับตัวเองอย่างนั้น พลางเอ่ยทักทายเพื่อนร่วมงาน จนทุกคนต่างแปลกใจไปตามๆกัน ไม่รู้ว่าวันนี้นายณภัทรไปกินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่า ถึงได้อารมณ์ดีเป็นพิเศษนะ คิดให้ดีๆแล้ว โดยปกติแล้วนายปกรณ์ก็ไม่เคยคิดร้ายกับเขาเลย ที่ถกเถียงกันก็เป็นเพียงเพราะเรื่องงานที่มีความเห็นไม่ค่อยลงรอยกันเท่านั้น สายหน่อยณภัทรก็ได้รับสายจากเบอร์โทรที่ไม่คุ้นเคย

“สวัสดีครับจำผมได้มั้ยครับ” ชายหนุ่มค่อนข้างแปลกใจด้วยไม่คุ้นกับเสียงปลายสายซักเท่าไหร่

“ที่ผมขับรถชนรถคุณเมื่อวานไงครับ ผมอยากโทรมาขอโทษพอดีเมื่อวาน ผมรีบมาก เมียผมเจ็บท้องจะคลอดลูก ผมก็เลยขับรถไม่ระวัง” ชายหนุ่มฟังแล้วก็โล่งอก นึกดีใจที่เมื่อวานไม่ได้ตะบันหน้าคู่กรณีไปเสียก่อน หลังจากสนทนากันได้นิดหน่อยปลายสายก็ต้องรีบวาง ด้วยเพราะเจ้าตัวน้อยที่อยู่ข้างๆส่งเสียงดัง 
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ณภัทรต้องโหนรถเมล์กลับบ้าน หากแต่ว่าวันนี้เขากลับรู้สึกแตกต่างออกไปจากทุกวัน บางสิ่งบางอย่างอาจไม่เลวร้ายอย่างที่คิด ขึ้นอยู่กับมุมมองของเราต่างหาก ทุกสิ่งล้วนมีข้อดีและข้อเสีย หากเรารู้จักที่จะมองมันในแง่ของความเป็นจริง โดยปราศจากอคติ เราก็สามารถที่จะมีความสุขได้ไม่ยาก เขารู้สึกว่าภาระในใจที่เขาทนแบกไว้นานหลายปีได้ถูกปลดปล่อยออกไป ถึงแม้จะไม่หมดในคราวเดียว แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

    เขาเดินมาบนถนนสายเดิม ชายแก่คนนั้นก็ยังคงก้มหน้าก้มตาเก็บขยะเหมือนเดิม หากแต่ว่าวันนี้สายตาที่เขามองชายแก่นั้นกลับเปลี่ยนไป ชายแก่คนนั้นเขาไม่ได้ยากจนเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าเขาต้องเก็บขยะขายมีรายได้ต่อวันไม่กี่ร้อยบาท แต่หากชายแก่ผู้นั้นกลับร่ำรวยไปด้วยความสุข และแง่คิดดีดี ที่วันนี้ได้เปลี่ยนแปลงเขาไปในทางที่ดีด้วยเช่นกัน

จาก เวปไซท์ ธรรมะใกล้ตัว
เครดิต : Dong

มิใช่คนโท

ภาพจาก nipic.com
       《灵佑踢瓶》
    
   อาจารย์เซนนามซือหม่า ต้องการคัดเลือกพระลูกวัดไปดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสยังวัดแห่งหนึ่งบนภูเขาต้าเหวย และเพื่อคัดเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดจึงได้ลั่นระฆังเรียกพระมารวมตัวกันยังลานวัด จากนั้นถามคำถามข้อหนึ่งให้ทุกคนตอบ
      
       อาจารย์เซนชูคนโทน้ำขึ้นมาใบหนึ่ง จากนั้นกล่าวว่า “สิ่งนี้ไม่ใช่คนโทน้ำ แต่เป็นอะไร?”
      
       บรรดาพระลูกวัดต่างจ้องมองด้วยความงงงวย ไร้ซึ่งคำตอบ เนื่องเพราะสิ่งที่อาจารย์เซนถืออยู่นั้นชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นคนโทน้ำ หากไม่ให้ตอบว่าคนโทน้ำ ก็มิทราบจะตอบอย่างไรดี
      
       ขณะนั้นเอง มีพระรูปหนึ่งนามว่า หลิงโย่ว ึ่งทำหน้าที่ผ่าฟืน จุดไฟ หุงอาหารภายในวัดกล่าวโพล่งขึ้นมาว่า “ขอให้ศิษย์ลองตอบดูสักครั้ง” บรรดาพระรูปอื่นๆ เห็นพระรูปนี้ท่าทางทึ่มทื่อ จึงพากันหัวเราะขบขัน
      
       พระหลิงโย่วก้าวออกมาข้างหน้า รับเอาคนโทน้ำมาจากอาจารย์เซน แล้ววางลงบนพื้น จากนั้นพลันเตะคนโทน้ำจนกระเด็นกระดอนหายลับจากกำแพงวัดไป อาจารย์เซนเห็นดังนั้นจึงกล่าวว่า “เจ้าสมควรรับตำแหน่งเจ้าอาวาสแห่งวัดต้าเหวย”
      
       บรรดาพระลูกวัดยังคงขบคิดไม่เข้าใจ อาจารย์เซนจึงกล่าวว่า “ในเมื่อมิใช่คนโทน้ำ ก็จงเตะทิ้งไปเสีย ที่แท้เป็นสิ่งใดล้วนไม่จำเป็นต้องไถ่ถามให้มากความ”
        
       ปัญญาเซน : ในชีวิตคนเราล้วนเผชิญกับปัญหา หรือทางเลือกที่ยากจะตัดสินใจมากมาย ทั้งที่แท้จริงแล้ว “การเลือก” นั้นง่ายดาย เพียงเตะสิ่งที่ไม่จำเป็นสำหรับชีวิตของตนเองออกไปให้พ้นทาง ย่อมพบคำตอบที่ถูกต้องในที่สุด

       
       ที่มา : หนังสือ 《禅的故事精华版》, 慕云居 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 地震出版社, 2006.12, ISBN 7-5028-2995-4เครดิต : Dong