17 สิงหาคม 2555

การติดอินเทอร์เน็ตทำให้เกิดสมาธิสั้นและภาวะซึมเศร้าในวัยรุ่น



ภาพในบรรทัด 1


การศึกษาใหม่ อ้างว่า : การติดอินเทอร์เน็ตทำให้เกิดสมาธิสั้นและภาวะซึมเศร้าในวัยรุ่น

การติดอินเทอร์เน็ตเป็นจุดอ่อนของเด็กและวัยรุ่นที่มีปัญหาภาวะด้านอารมณ์ จากการสำรวจครั้งใหม่ นักเรียนเกรด 7 ของประเทศไต้หวัน มีความประพฤติหรือแนวโน้มที่จะติดอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.8 หรือ 2,293 ราย

นักวิจัยประเทศไต้หวัน ติดตามผลของเด็กในระยะเวลา 2 ปี พบว่า เด็กที่มีสมาธิสั้นและก้าวร้าวสามารถติดอินเทอร์เน็ตได้ง่ายกว่าเด็กที่ชอบใช้พลังงาน วิ่ง เล่น รวมถึงพวกที่ไม่นิยมออนไลน์

ในเด็กผู้หญิงโดยเฉพาะเด็กที่ขี้อาย หรือหวาดกลัวสังคมจะทำให้ติดอินเทอร์เน็ตเพิ่มง่ายขึ้น
อย่างไรก็ตาม เด็กผู้ชายจะมีความเสี่ยงสูงกว่าเด็กผู้หญิง ถ้าพวกเด็กๆ ใช้อินเตอร์เน็ตเกินกว่า 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

แถบเอเชียมีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากกว่าสหรัฐอเมริกา โลกอินเทอร์เน็ตกลายมาเป็นปัจจัยสำคัญที่ขาดไม่ได้ ในชีวิตประจำวันของเราไปแล้ว สังคมเราควรจะเริ่มต้นทำอะไรจริงจังกับเรื่องนี้ แทนที่จะปล่อยให้อินเทอร์เน็ตกลายมาเป็น พี่เลี้ยงเด็กในรุ่นนี้ต่อไป.

 



การศึกษา : "โรคคลั่ง-ดิจิตอล" เป็นอุปสรรคต่อทักษะทางสังคมของเยาวชน


FaceTime โปรแกรมแอปเปิ้ล วิดีโอแชท, ไม่ได้เป็นตัวแทนของการโต้ตอบของมนุษย์เท่านั้น โดยเฉพาะ เยาวชนตามหลักสูตรการศึกษาใหม่ หญิงวัยรุ่นที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ <ช่วงกลางวัน> หมดไปกับ YouTube, Facebook, โทรทัศน์ และ Text การส่งข้อความ มีแนวโน้มที่จะพัฒนาปัญหาทางสังคมเพิ่มขึ้น

งานวิจัยชิ้นหนึ่ง ตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสแตนท์ฟอร์ด มีการสำรวจของอาสาสมัครผู้หญิงอเมริกัน 3,461 คน ผลที่ได้ คือ หญิงสาวที่มีอายุระหว่าง 8 ถึง 12 เป็นกลุ่มที่ใช้เวลามากที่สุดในที่สามารถทำงานหลายอย่างหรือใช้สื่อดิจิตอล อาทิ อุปกรณ์ดิจิตอลต่างๆ การสื่อสารออนไลน์ หรือ ดูวิดีโอที่ไม่มีสาระมากนัก ไปพร้อมๆกันได้


แม้ว่าการศึกษาครั้งนี้ จะเป็นการศึกษาโดยเฉพาะผู้หญิงที่ตอบสนอง ต่อการสํารวจในการค้นพบจาก "นิตยสารหญิง" แต่ก็มีความเห็นว่าผลที่ได้ควรจะนำไปใช้กับเด็กผู้ชายด้วย นาย คริปฟอร์ด เนสส์ ศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัย สแตนท์ฟอร์ด ด้านการสื่อสาร ที่ทำงานในการศึกษาใหม่ กล่าวว่า "การพัฒนาทางอารมณ์ ของเด็กผู้ชาย เป็นเรื่องยากมากในการวิเคราะห์ เพราะการพัฒนาทางสังคม เพศชายจะแตกต่างกัน, กว้างขวางและในช่วงเวลาที่นานกว่า "

"ไม่มีใครเคยมองจุดนี้ ซึ่งน่าตกใจต่อเราซึ่งเป็นกลุ่มผู้ชาย" มาก เนสส์ กล่าวว่า : "เด็กต้องเรียนรู้เกี่ยวกับอารมณ์และวิธีที่พวกเขาต้องทำนั้นคือ การให้ความสนใจกับคนอื่น ๆ และจะต้องมองพวกเขาเข้าไปในสายตา."


การแก้ไขสำหรับปรากฏการณ์ คลั่ง- ดิจิตอล สำหรับเด็กคือ ต้องใช้เวลาพูดคุยโต้ตอบแบบ ตัวต่อตัวกับคนอื่นๆ การศึกษาใหม่พบว่า : กลุ่มวัยรุ่นในการศึกษาที่ประจำอยู่ได้พูดคุยกับเพื่อนและครอบครัวบ่อยๆ มีโอกาสน้อยที่จะแสดงปัญหาสังคม แต่หาก "คุณหลบหนีการสื่อสารแบบตัวต่อตัว, คุณไม่ได้เรียนรู้สิ่งที่สำคัญที่คุณต้องเรียนรู้" เนสส์ กล่าวว่า : "คุณต้องเรียนรู้ทักษะทางสังคม. คุณต้องเรียนรู้เกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึก."


อย่างไรก็ตาม นักวิจัยมหาวิทยาลัยสแตนท์ฟอร์ด ยังไม่สามารถที่จะกำหนดจำนวนชั่วโมงที่เหมาะสม ซึ่งเด็กควรจะใช้เวลาสนทนาต่อสัปดาห์ เนสส์กล่าวว่า : ทักษะทางสังคมมักจะเรียนรู้เฉพาะเมื่อเด็กมีส่วนร่วมและการติดต่อ ,มองตากันและกันมากกว่า ที่เล่นกับ iPod ได้ในระหว่างการสนทนา FaceTime และ Skype จะไม่สามารถแทนที่ได้กับ การแสดงอากัปกิริยาบนใบหน้าที่แท้จริง เพราะมีการสำรวจอื่น ๆ พบว่าผู้คนมีแนวโน้มที่จะทำงานหลากหลายอย่างในขณะที่อยู่ในการสนทนานั้น เนสส์กล่าว

เนสส์ เรียกตนเองว่าเป็นนักเทคโนโลยี มา25 ปี เป็นที่ปรึกษากับหลาย บริษัท อิเล็กทรอนิกส์ ที่สำคัญรวมทั้ง Google และ Microsoft เขากล่าวว่าเขาไม่พอใจกับสถานการณ์นี้อย่างมาก


ไม่กี่ปีที่ผ่านมาเนสส์ ทำงานเกี่ยวกับการศึกษา : เกี่ยวกับวิธีการทำงานแบบ "หลายอย่างในเวลาเดียวกัน" ยังส่งผลกระทบต่อผู้ใหญ่ เขาพบว่าการทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ประสบปัญหาอย่างมากกับความรู้ความเข้าใจ เช่นความยากลำบากในการมุ่งเน้น และการจดจำ เป็นสิ่งที่เลวร้ายอย่างยิ่งที่ทำเป็นเล่นกับกิจกรรมต่างๆ กับทักษะที่สำคัญอย่างยิ่ง ต่อชีวิตการทำงานของมุนษย์มากกว่าผู้ที่ใช้เวลาน้อยกว่าในการทำอะไรน้อยอย่าง

Source : cnn.com
Credit : Dong

ไม่มีความคิดเห็น: